พวกผู้นำทางการเมืองในแคลิฟอร์เนียและนิวยอร์ก ซิตี เมื่อวันจันทร์ (26 ก.ค.) ออกคำสั่งให้พนักงานรัฐเข้าฉีดวัคซีนโควิด-19 หรือไม่ก็ต้องเข้ารับการตรวจเชื้อเป็นประจำ ความเคลื่อนไหวเพิ่มแรงกดดันไปยังคนที่ยังลังเลเข้ารับวัคซีน ในความพยายามสกัดจำนวนผู้ติดเชื้อที่กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อันมีต้นตอจากตัวกลายพันธุ์เดลตา
นิวยอร์ก ซิตี จะบังคับให้พนักงานมากกว่า 300,000 คนเข้าฉีดวัคซีนภายในวันที่ 13 กันยายน หรือไม่ก็ต้องเข้ารับการตรวจเชื้อทุกสัปดาห์ จากการเปิดเผยของนายกเทศมนตรีบิล เดอ บลาซิโอ ความเคลื่อนไหวนี้มีขึ้นหนึ่งสัปดาห์ หลังจากเมืองที่มีประชากรมากที่สุดของสหรัฐฯ อนุมัติคำสั่งบังคับฉีดซีนบุคลากรด้านสาธารณสุขทุกคนที่ประจำอยู่ตามโรงพยาบาลและคลินิกต่างๆ ที่อยู่ภายใต้การบริหารงานของเมือง
ส่วน กาวิน นิวซัม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย ระบุว่า พนักงานรัฐทุกคน ราวๆ 246,000 คน จะถูกสั่งให้เข้าฉีดวัคซีนเริ่มตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคมเป็นต้นไป หรือไม่ก็ต้องเข้ารับการตรวจเชื้ออย่างน้อย 1 ครั้งต่อสัปดาห์ "ท่ามกลางโรคระบาดใหญ่ เวลานี้เราอยู่ในจุดที่การเลือกไม่ฉีดวัคซีนของบุคคลหนึ่งๆ กำลังส่งผลกระทบต่ออื่นๆ ที่เหลือ" เขากล่าวระหว่างแถลงข่าวในวันจันทร์ (26 ก.ค.)
เจ้าหน้าที่รัฐบาลกลาง ระดับรัฐ และระดับท้องถิ่นกำลังผลักดันอย่างหนักให้ประชาชนเข้าฉีดวัคซีน ท่ามกลางเคสผู้ติดเชื้อตัวกลายพันธุ์เดลตาที่พุ่งสูง ในนั้นรวมถึงแกนนำรีพับลิกันบางส่วน ซึ่งเบื้องต้นเคยลังเลที่จะเข้าร่วมความพยายามดังกล่าว
"ในขณะที่เคสโควิด-19 กำลังเพิ่มขึ้นทั้ง 50 รัฐ ผมขอสนับสนุนให้ชาวรัฐจอร์เจียทุกคนพูดคุยกับแพทย์ส่วนตัว และเข้ารับวัคซีน" ไบรอัน เคมป์ ผู้ว่าการัฐจอร์เจีย จากรีพับลิกันเขียนบนทวิตเตอร์
เมื่อวันจันทร์ (26 ก.ค.) กระทรวงการทหารผ่านศึกสหรัฐฯ ซึ่งมีอำนาจครอบคลุมถึงการให้บริการรักษาพยาบาลแก่กำลังพลที่ปลดประจำการ กลายเป็นหน่วยงานรัฐบาลกลางแห่งแรกที่บังคับเจ้าหน้าที่และพนักงานฉีดวัคซีน
ตัวกลายพันธุ์เดลตา ซึ่งเชื่อว่าแพร่เชื้อได้ง่ายกว่าไวรัสตัวดั้งเดิมหลายเท่า โหมกระพือการพุ่งขึ้นของเคสผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั่วสหรัฐฯ ในปัจจุบัน จากที่เคยลดลงอย่างมากก่อนหน้านี้ หลังสามารถเข้าถึงวัคซีนได้อย่างกว้างขวางในช่วงฤดูใบไม้ผลิ
เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวบอกกับรอยเตอร์ในวันจันทร์ (26 ก.ค.) ว่าตัวกลายพันธุ์เดลตากระตุ้นให้รัฐบาลกลางเลื่อนแผนพิจารณายกเลิกข้อจำกัดด้านการเดินทางที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบันออกไป
ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่พุ่งขึ้นอย่างมาก เกิดขึ้นในรัฐต่างๆ ของสหรัฐฯ ที่มีอัตราการฉีดวัคซีนในระดับต่ำ ในนั้นรวมถึงฟลอริดา เทกซัส และมัสซูรี ซึ่งคิดเป็นเกือบ 40% ของผู้ติดเชื้อใหม่ทั่วประเทศ เจฟฟรีย์ ไซอองส์ ผู้ประสานงานตอบสนองวิกฤตโควิด-19 ของทำเนียบขาวระบุเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหัฐฯ (ซีดีซี) ระบุว่า จนถึงตอนนี้มีพลเมืองสหรัฐฯ แค่ราวๆ ครึ่งหนึ่งที่ฉีดวัคซีนครบแล้ว
จำนวนการฉีดวัคซีนรายวันเคยแตะระดับสูงสุด 4.63 ล้านคนในวันที่ 10 เมษายน จากข้อมูลของซีดีซี ทว่ามันค่อยๆ ซบเซาและชะลอตัวลงนับตั้งแต่นั้น
การบังคับฉีดวัคซีนโควิด-19 และบังคับตรวจเชื้อยังคงเป็นประเด็นขัดแย้ง และจุดชนวนการยื่นคัดค้านทางกฎหมาย โดยฝ่ายต่อต้านมองว่ามันเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล
(ที่มา : รอยเตอร์)