เสียงเรียกละหมาดที่กระหึ่มกึกก้องผ่านลำโพงของมัสยิดจำนวนมากมายภายในซาอุดีอาระเบีย เป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ที่ดำเนินมาช้านานในราชอาณาจักรแห่งศาสนาอิสลาม แต่ความเปลี่ยนแปลงอย่างมโหฬารก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อรัฐบาลซาอุดี สั่งให้ทุกมัสยิดลดระดับเสียงลงเหลือหนึ่งในสามของศักยภาพสูงสุดที่ลำโพงสามารถดังได้
นี่เป็นการรุกคืบครั้งใหญ่ในกระแสปฏิรูปของรัฐบาลซาอุดี ซึ่งนำมาบังคับใช้และส่งผลกระทบกระแทกไปถึงประเพณีและวัฒนธรรมอันเคร่งครัดของประเทศ โดยกระแสความเปลี่ยนแปลงนี้มุ่งปรับภาพลักษณ์อันเคร่งขรึมของราชอาณาจักร เพื่อดึงดูดนักลงทุนและนักท่องเที่ยว ในอันที่จะเอื้อให้ระบบเศรษฐกิจสามารถแตกแขนงออกจากกระบวนวิธีเดิม อันได้แก่ การพึ่งพิงอยู่กับรายได้จากน้ำมัน
เอเอฟพีนำเสนอประเด็นนี้ขึ้นมาเจาะลึกความพยายามจัดกระบวนประเทศกันใหม่ แบบว่า “รีเซต” กันอย่างเอาจริงเอาจังและจะไม่รีบเร่ง ซึ่งครอบคลุมถึงมิติของวัฒนธรรมและประเพณี โดยไม่ละเว้นกระทั่งประเพณีทางศาสนา ภายในหลายทศวรรษที่พลังของนักการศาสนาอ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่อง
ตลอดที่ผ่านมา ซาอุฯ ซึ่งเป็นผู้พิทักษ์สองมัสยิดอันศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ได้มีความแนบแน่นกับกลุ่มผู้นำศาสนาสาย วะฮาบีย์ ซึ่งส่งผลให้ประเทศผู้ส่งออกน้ำมันรายยักษ์ของโลกแห่งนี้ หยั่งรากลึกอยู่ในแนวทางอนุรักษนิยม
แต่บทบาทของผู้นำฝ่ายศาสนาก็ต้องเผชิญกับกระแสแห่งการรีเซต เนื่องจาก มกุฎราชกุมาร เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน (Mohammed bin Salman ซึ่งทรงได้รับการเรียกขานเป็นพระฉายาเท่ๆ ว่า MBS) ทรงมุ่งมั่นจะขยายเศรษฐกิจของซาอุฯ ออกมาจากการพึ่งพิงอยู่กับน้ำมัน และจึงเดินหน้าเปิดเสรีประเทศคู่ขนานกับการปราบผู้คัดค้าน
มาตรการความเปลี่ยนแปลงล้วนเป็นประเด็นร้อน
การละเลิกธรรมเนียมปฏิบัติซึ่งรัฐบาลซาอุดี สั่งการเมื่อพฤษภาคมที่ผ่านมา ได้แตะต้องไปถึงหนึ่งในเอกลักษณ์สำคัญทางศาสนา กล่าวคือ การสั่งให้ลำโพงของมัสยิดทั้งปวงดังได้ไม่เกินหนึ่งในสามของศักยภาพสูงสุดของตัวลำโพง และไม่ให้กระจายเสียงตลอดพิธี ในการนี้ เอเอฟพีระบุว่าในคำสั่งได้แสดงความกังวลถึงปัญหามลพิษทางเสียง (Voice Pollution)
ความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งประเด็นร้อนสำหรับประเทศซึ่งมีมัสยิดตั้งอยู่เป็นจำนวนหลายหมื่นแห่ง ดังนั้น การโต้ตอบผ่านช่องทางออนไลน์จึงผุดขึ้น ได้แก่ กระแสแฮชแท็กอันทรงพลัง “เราต้องการลำโพงของมัสยิดกลับคืน” โดยฝ่ายการศาสนาชี้ว่าต้องเปิดลำโพงให้ดังเพื่อพี่น้องที่สวดมนต์กันอยู่ด้านนอกมัสยิด
คลื่นแห่งการโต้ตอบลุกลามไปเล่นงานความเปลี่ยนแปลงเชิงเปิดเสรีอื่นๆ ของรัฐบาล อาทิ เรียกร้องให้แบนเสียงดนตรีที่เปิดกันดังสนั่นตามร้านอาหารและภัตตาคารทั้งปวง ทั้งนี้ การเปิดดนตรีในร้านอาหารเคยเป็นสิ่งต้องห้ามในราชอาณาจักรซาอุฯ แต่ในปัจจุบัน กลายเป็นเรื่องดาษดื่นตามกระแสเปิดเสรี
แม้จะมีแรงโต้ตอบจากฝ่ายการศาสนา แต่หน่วยงานภาครัฐมิได้มีท่าทีจะตอบสนอง ทั้งนี้ ผู้สังเกตการณ์ต่างๆ ชี้กันว่า การปฏิรูปทางเศรษฐกิจในยุคที่รายได้จากการขายน้ำมันไม่ฟู่ฟ่าแล้ว มีความสำคัญมากกว่าเรื่องศาสนา เอเอฟพีรายงานอย่างนั้น
“ประเทศซาอุฯ อยู่ระหว่างการเร่งปรับกระบวนโครงสร้างพื้นฐานครับ” อาซิส อัลกาชีอัน อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเอสเซกส์ กล่าวกับเอเอฟพี และชี้ว่า
“ซาอุฯ ในขณะนี้เป็นประเทศที่ขับเคลื่อนด้วยประเด็นทางเศรษฐกิจ และก็เร่งทุ่มเทเปลี่ยนแปลงให้เป็นประเทศที่น่ากลัวน้อยลงและสามารถดึงดูดนักลงทุนและนักท่องเที่ยว”
องค์แชมเปียนแห่งกระแสปฏิรูป
เมื่อซีบีเอสนิวส์ (CBS News) สื่อยักษ์อเมริกัน นำบทสัมภาษณ์ที่เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารซาอุดี พระราชทานแก่รายการ 60 Minutes ขึ้นเสนอบนเว็บไซต์ข่าวของตนในวันที่ 29 กันยายน 2019 นั้น ซีบีเอสรายงานว่า มกุฎราชกุมารซาอุดี ทรงบริหารราชการแผ่นดินทุกวันในฐานะตัวแทนแห่งสมเด็จพระราชาธิบดี และทรงเป็นผู้ที่มีคุณลักษณ์ขัดแย้งกันเอง
ขณะที่ทรงมีภาพลักษณ์แห่งผู้นำรุ่นใหม่หัวก้าวหน้าซึ่งสนับสนุนสตรีให้มีบทบาทในหน้าที่การงาน แต่ก็ทรงทำสงครามนองเลือดในเยเมน และปราบปรามผู้ที่ออกมาต่อต้านทางการเมือง ทั้งนี้ ซีไอเอจัดทำรายงานว่าทรงอยู่เบื้องหลังการฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยมที่เกิดขึ้นกับนักข่าวซาอุดี นาม จามาล คาช็อกกี ผู้ซึ่งวิพากษ์วิจารณ์การดำเนินงานของพระองค์อย่างรุนแรง จนกระทั่งถูกทางการซาอุฯ เล่นงาน และได้ลี้ภัยไปอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2017 โดยได้เป็นคอลัมนิสต์ของวอชิงตัน โพสต์ สื่ออเมริกันเจ้าใหญ่ สืบมาจนกระทั่งถูกฆาตกรรมในสถานกงสุลซาอุฯในนครอิสตันบูล ตุรกีเมื่อปี 2019
มกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน เป็นพระโอรสพระองค์โปรดของพระราชบิดา ทรงได้รับตำแหน่งอันเปี่ยมล้นด้วยอำนาจนี้ ทั้งที่ เป็นพระโอรสในพระมเหสีลำดับที่สาม ทั้งนี้ ทรงมีพระเชษฐาต่างพระมารดาเป็นจำนวนถึง 5 พระองค์
ในการนี้ พระองค์ได้ถวายงานใกล้ชิดพระราชบิดาโดยตลอดตั้งแต่ปี 2009 ซึ่งพระราชบิดายังมิได้เป็นมกุฏราชกุมารและยังทรงรับราชการเป็นผู้ว่าการกรุงริยาด ในเวลาต่อมา บทบาทของพระองค์โดดเด่นมากขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากที่พระราชบิดาทรงก้าวขึ้นเป็นมกุฎราชกุมารในปี 2012
บีบีซีรายงานว่าเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ทรงเข้าสู่ยุคเรืองอำนาจอย่างแท้จริงในปี 2013 หลังจากที่พระบิดาได้ขึ้นสู่ตำแหน่งมกุฎราชกุมารแล้วหลายไตรมาส โดยได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีผู้เป็นประธานสำนักงานมกุฎราชกุมารของพระราชบิดา ยิ่งกว่านั้น เมื่อพระราชบิดาได้เถลิงราชสมบัติเป็นพระราชาธิบดีแห่งซาอุดีอาระเบีย ในปี 2015 พระราชบิดาก็ทรงแต่งตั้งพระองค์เป็นรัฐมนตรีกลาโหม ณ พระชันษาเพียง 30 ปี ต่อด้วยตำแหน่งสำคัญอื่นๆ อาทิ รองนายกรัฐมนตรีลำดับที่สอง และประธานสภากิจการเศรษฐกิจและการพัฒนา
ดังนั้น พระองค์จึงได้ถวายงานพระราชบิดาในด้านการปฏิรูปเศรษฐกิจ ควบคู่กับด้านอื่นๆ รวมถึงการทำสงครามเยเมน ซึ่งเป็นพันธมิตรกับอิหร่าน ประเทศที่ขัดแย้งร้าวลึกกับซาอุฯ ภายในเวลาปีเศษ ในเดือนเมษายน 2015 พระองค์ทรงออกมาประกาศวิสัยทัศน์ซาอุดีอาระะเบีย 2030
วิสัยทัศน์ซาอุดีอาระเบีย 2030
Saudi Vision 2030 ระบุทิศทางอนาคตชัดเจนที่จะลดการพึ่งพิงรายได้จากการส่งออกน้ำมัน และสร้างระบบเศรษฐกิจที่มีความหลากหลาย พร้อมกับพัฒนาภาคบริการสาธารณะ อาทิ สาธารณสุข การศึกษา โครงสร้างพื้นฐาน ธุรกิจบันเทิง และการท่องเที่ยว
เป้าหมายหลักของวิชัน คือ จะเสริมแกร่งให้แก่กิจกรรมทางเศรษฐกิจและการลงทุน จะขยายธุรกิจระหว่างประเทศที่ไม่ใช่ด้านน้ำมัน และจะโปรโมตภาพลักษณ์ของประเทศให้นุ่มนวลมากขึ้นและเพิ่มภาพลักษณ์อื่นๆ ที่ไม่ใช่ด้านศาสนา
ในวันที่มกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ทรงแถลงรายละเอียดของวิสัยทัศน์ประเทศ ณ 25 เมษายน 2016 นั้น คณะรัฐมนตรีได้มอบอำนาจให้สภากิจการเศรษฐกิจและการพัฒนาที่ทรงเป็นประธาน ทำการกำหนดเครื่องมือและมาตรการที่จำเป็นแก่การขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ให้เป็นจริงขึ้นมา
หกปีผ่านไปพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงและการอุบัติขึ้นของสิ่งใหม่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
**การสร้างพลังการเติบโตทางเศรษฐกิจผ่านการเปิดโอกาสให้พลังของสตรีที่ถูกกดบทบาทตามวัฒนธรรมดั้งเดิม ได้เข้าไปร่วมขับเคลื่อนประเทศ
**การออกกฎหมายหลายฉบับที่เปิดเสรีให้แก่สตรีซาอุดี ออกจากระบบผู้ชายเป็นใหญ่ ระบบที่สตรีทุกคนต้องมีผู้คุ้มครองที่เป็นบุรุษผู้ซึ่งมีอำนาจตัดสินใจแทนในเรื่องสำคัญต่างๆ **การนำเม็ดเงินอันมหาศาลภายในประเทศซึ่งนอนนิ่งๆ พึ่งพิงกับอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรและดอกเบี้ยเงินฝาก ให้มาทำงานเพื่อพัฒนากิจกรรมทางเศรษฐกิจใหม่ๆ ดังนั้น เม็ดเงินเหล่านี้จึงได้รับอัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าเดิม และยังช่วยสร้างงานป้อนสู่ตลาดแรงงาน ผลดีจึงเกิดเป็นการเติบโตก้าวกระโดดของประเทศ
**การกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศและดึงดูดเม็ดเงินต่างประเทศผ่านหลายภาคธุรกิจ อาทิ การพัฒนาธุรกิจท่องเที่ยว บันเทิง กีฬา และการพักผ่อนหย่อนใจสมัยใหม่
กิจกรรมทางเศรษฐกิจและการลงทุนได้เกิดขึ้นจริง ขณะเดียวกันการโปรโมตภาพลักษณ์ของประเทศให้นุ่มนวลมากขึ้นและเพิ่มมิติที่ไม่ใช่ด้านศาสนาก็เกิดขึ้นจริง พร้อมกันนั้น การเปิดโอกาสให้สตรีชาวซาอุดี ได้ใช้ศักยภาพเต็มความสามารถก็ได้เกิดขึ้นในราชอาณาจักรแห่งระบบที่บุรุษเป็นใหญ่ และสตรีต้องได้รับอนุญาตจากบุรุษที่เป็นผู้คุ้มครอง อย่างที่ไม่เคยมีใครเชื่อว่าสตรีซาอุดี จะได้รับโอกาสเหล่านี้
ในการนี้ ในเดือนตุลาคม 2017 เจ้าชายมกุฎราชกุมารทรงกล่าวชัดเจนว่าจะทรงนำให้ซาอุฯได้เริ่มที่จะ “กลับสู่สิ่งที่เคยเป็นมา ได้แก่ การเป็นประเทศอิสลามสายกลางซึ่งเปิดกว้างแก่ทุกศาสนาและเปิดกว้างแก่โลกทั้งมวล” เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาแห่งซาอุดีอาระเบีย บันทึกไว้อย่างนั้นในหัวเรื่อง Kingdom a country of moderate Islam
นอกจากนั้น บทความของบลูมเบิร์ก เมื่อ 5 พฤศจิกายน 2017 รายงานว่า พระองค์ทรงแจ้งต่อผู้นำศาสนาในซาอุฯ ว่าข้อตกลงที่ราชวงศ์ให้ไว้กับบรรดาผู้นำศาสนาหลังวิกฤตการณ์ยึดมัสยิดอัลฮารอม ปี 1979 นั้น จะต้องนำมาเจรจากันใหม่!!
กระแสปฏิรูป-เปิดเสรีสู่ความทันสมัยและธุรกิจใหม่ๆ พร้อมมอบโอกาสแก่พลังแห่งอิสตรี
**เมษายน 2016 หลังประกาศวิสัยทัศน์ 2030 มาตรการชุดใหญ่ถูกนำมาดำเนินการ ดังนี้
- การกำหนดภาษีใหม่
- การหั่นลดงบอุดหนุนต่างๆ
- การหั่นลดงบประมาณแผ่นดิน
- การประกาศแผนสร้างความหลากหลายในระบบเศรษฐกิจ
- การสถาปนากองทุนความมั่งคั่งแห่งซาอุดีอาระเบีย หรือ Saudi Sovereign Wealth Fund (SWF) มูลค่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยระดมทุนจากการขายหุ้นของบริษัท ซาอุดี อารามโก ยักษ์ใหญ่แห่งโลกน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งมาทำซูเปอร์ไอพีโอที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในธันวาคม 2019
- การนำเม็ดเงินจากหุ้นซาอุดี อารามโก ไปลงทุนในเซ็กเตอร์ธุรกิจใหม่ๆ
- การปฏิรูปเศรษฐกิจที่เป็นกลุ่มยุทธศาสตร์ภายใต้โปรแกรมแปลงโฉมชาติ
**กุมภาพันธ์ 2017 ซาราห์ อัล-ซูไฮมี เป็นสตรีคนแรกที่ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานตลาดหลักทรัพย์ซาอุดี เธอมีประสบการณ์โดดเด่นในอุตสาหกรรมการเงินและการลงทุนก่อนจะสำเร็จการศึกษาจากฮาร์วาร์ด บิสซิเนส สกูล ในปี 2015
**เมษายน 2017 มกุฎราชกุมารซาอุดีประกาศเมกะโปรเจกต์อัลกิดดียา (Project Al Qiddiya) ที่จะเป็นโครงการด้านสันทนาการ-วัฒนธรรม-การกีฬาขนาดใหญ่ยักษ์ที่สุดโครงการหนึ่งของโลก ประกอบด้วย ธีมปาร์ก Six Flags สุดยอดโด่งดังของสหรัฐฯ พร้อมซาฟารีและเครื่องเล่นมหึมาสำหรับสามฤดูกาลมากกว่า 300 ประเภท บนพื้นที่ 334 ตร.กม. ในย่านตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงริยาด โครงการนี้เป็นการขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ 2030 โดยมุ่งให้เป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศให้จับจ่ายใช้สอยสนุกสนาน เพื่อให้รายได้มหาศาลเล่านี้มากระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ โครงการนี้เดินหน้าก่อสร้างตั้งแต่ปี 2019 และมีกำหนดเปิดทำการในปี 2023
**กรกฎาคม 2017 กระทรวงศึกษาธิการประกาศให้โรงเรียนรัฐทุกแห่งจัดให้มีวิชาพลศึกษาแก่นักเรียนหญิง การออกกำลังกายสำหรับผู้หญิงซึ่งเป็นประเด็นถกเถียงกันมาโดยตลอด และแม้ไม่ถึงกับห้าม แต่โรงเรียนรัฐส่วนใหญ่ไม่มีวิชาพลศึกษาสำหรับนักเรียนหญิง ขณะที่โรงเรียนเอกชนแทบทั้งหมดมีวิชานี้กันเป็นปกติ
**กันยายน 2017 ออกกฎหมายยกเลิกการห้ามสตรีขับขี่รถยนต์ ซึ่งเป็นหนึ่งในกฎเหล็กของวัฒนธรรมประเพณีซาอุดี ที่กำหนดข้อห้ามต่อสตรี โดยเริ่มมีผลบังคับใช้ในเดือนเมษายน 2018
**ตุลาคม 2017 รัฐบาลประกาศว่าผู้หญิงสามารถเข้าชมการแข่งขันฟุตบอลในสนามกีฬาได้ 2 แห่ง คือ สนามกีฬานานาชาติคิงฟาฮัด ในกรุงริยาด กับสนามกีฬานานาชาติคิงอับดุลเลาะห์สปอร์ตส์ซิตี ในนครเจดดาห์ โดยจะประเดิมกันตั้งแต่แมตช์ระหว่างสโมสรอัลฮิลอัล พบกับสโมสรอัลอิตติฮัด ณ สนามกีฬานานาชาติคิงฟาฮัด วันที่ 12 มกราคม 2018
**ธันวาคม 2017 ในอันที่จะพัฒนาวัฒนธรรมให้ทันสมัยตามวิสัยทัศน์ 2030 สำนักงานการนันทนาการของซาอุฯ จัดให้มีการแสดงคอนเสิร์ตเป็นครั้งแรกของประเทศ เมื่อ 7 ธันวาคม 2017 ณ ศูนย์วัฒนธรรมคิงฟาฮัด กรุงริยาด โดยจัดให้แก่ผู้เข้าชมสตรี และจัดเป็นคอนเสิร์ตเดี่ยวของนักร้องหญิงคนดังจากเลบานอน ฮิบา ทาวาจี คอนเสิร์ตครั้งประวัติศาสตร์นี้ประสบความสำเร็จล้นหลาม
เอ็นบีซีรายงานข่าวนี้อย่างเอิกเกริกพร้อมวิเคราะห์ว่ากิจกรรมดังกล่าวเป็นตัวอย่างเด่นชัดว่า การปฏิรูปที่ดำเนินการโดยมกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ได้นำความเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ชีวิตของชาวซาอุดี การปฏิรูปนี้ได้เขย่าสังคมที่อนุรักษนิยมอย่างสุดโต่ง และแตกไลน์กิจกรรมเศรษฐกิจของประเทศให้ฉีกออกจากการพึ่งพิงเชื้อเพลิงฟอสซิล ตลอดที่ผ่านมา ไม่เคยมีมหกรรมคอนเสิร์ตใดๆ ได้รับอนุญาตให้จัดกันในซาอุฯ และชาวซาอุดี จะต้องเดินทางไปยังประเทศอ่าวอื่นๆ เพื่อชมคอนเสิร์ตสด
ทั้งนี้ มีการจัดตั้งสำนักงานการนันทนาการของซาอุฯ ขึ้นมาในเดือนพฤษภาคม 2016 โดยเป็นหนึ่งในความริเริ่มแห่งวิสัยทัศน์แห่งซาอุดีอาระเบีย 2030 หรือ Saudi Arabia’s Vision for 2030 หน้าที่ของหน่วยงานคือการพัฒนาภาคธุรกิจบันเทิงและจัดกิจกรรมบันเทิงต่างๆ ตลอดทั้งส่งเสริมให้มีโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับภาคธุรกิจบันเทิง
**มกราคม 2018 สนามกีฬานานาชาติคิงฟาฮัด ในกรุงริยาดเปิดให้สตรีซาอุดี เข้าชมการแข่งขันฟุตบอลได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติซาอุฯ นอกจากนั้น รัฐบาลซาอุดียังได้ประกาศให้ใบอนุญาตแก่ธุรกิจฟิตเนสสตรี
**กุมภาพันธ์ 2018 ออกกฎหมายเปิดทางให้สตรีซาอุดี ตั้งกิจการของตนเองได้โดยไม่ต้องมีใบอนุญาตยินยอมจากบุรุษผู้คุ้มครอง
**มีนาคม 2018 ออกกฎหมายว่าในกรณีการหย่าร้าง คุณแม่ซาอุดีมีอำนาจที่จะเป็นผู้ดูแลบุตรได้ โดยไม่ต้องยื่นฟ้องเรียกร้องสิทธิ
**เมษายน 2018 เปิดโรงภาพยนตร์ครั้งแรก หลังจากธุรกิจโรงภาพยนตร์ถูกห้ามนานกว่า 35 ปี ทั้งนี้ มีแผนงานว่าจะ ผุดโรงภาพยนตร์ให้ได้มากกว่า 2,000 จอภายในปี 2030
**พฤษภาคม 2019 คณะรัฐมนตรีซาอุดีให้ไฟเขียวแก่แผนอนุมัติสถานภาพผู้พักอาศัยระดับพรีเมียมแก่ชาวต่างชาติ โครงการนี้เปิดทางให้ชาวต่างชาติที่เข้าไปทำงานในซาอุฯ ได้รับสิทธิพักอาศัยถาวร เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ได้ และลงทุนในราชอาณาจักรได้
**สิงหาคม 2019 ออกกฎหมายอนุญาตให้สตรีอายุมากกว่า 21 ปี ยื่นขอพาสปอร์ตได้โดยไม่ต้องมีใบฉันทานุมัติจากบุรุษผู้คุ้มครอง
**เมษายน 2020 ยกเลิกการลงโทษด้วยวิธีเฆี่ยนตี และยกเลิกโทษประหารต่อเยาวชนที่ประกอบอาชญากรรม
พลังสตรีซาอุดีทะยานสูงลิ่ว ได้ใช้ศักยภาพเต็มความสามารถ
ซาอุดีอาระเบียซึ่งมีภาพลักษณ์ความอนุรักษ์นิยมสุดขั้วมาเนิ่นนาน ได้ถูกมกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ซึ่งเป็นผู้บริหารปกครองประเทศตัวจริง พลิกโฉมประเทศด้วยการปฏิรูปมากมายทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และศาสนา โดยประชาชนที่ได้รับประโยชน์อย่างมหาศาลคือกลุ่มชนที่เป็นสตรีซึ่งได้รับโอกาสในทางเศรษฐกิจอย่างที่ไม่เคยปรากฏกันมาก่อน
หลังการประกาศวิสัยทัศน์ ซาอุดี 2030 และตามด้วยมาตรการส่งเสริมทั้งปวง ผู้ประกอบการสตรีในซาอุฯสร้างธุรกิจ SMEs ขึ้นมามากมายโดยมีอัตราธุรกิจเกิดใหม่ทะยานสูง ส่งผลให้เกิดสถิติใหม่ในปี 2017 ว่าผู้ประกอบการสตรีในซาอุฯ มีสัดส่วนสูงถึง 39% คิดเป็นอัตราขยายตัว 35% จากเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เว็บไซต์ธุรกิจ อาระเบียนบิสซิเนสดอทคอม รายงานอย่างนั้นในบทความเรื่อง ผู้ประกอบการสตรีซาอุดีเป็นปัจจัยแห่งความเปลี่ยนแปลง
ซาอุดีอาระเบียมีผู้หญิงเก่งเป็นจำนวนมากมาย ซึ่งพร้อมอย่างยิ่งกับการเริ่มธุรกิจใหม่ทั้งในแง่ของเงินทุนและองค์ความรู้ กองทัพผู้ประกอบการใหม่เหล่านี้คือทรัพยากรทรงคุณค่าที่มาช่วยขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศภายใต้วิสัยทัศน์ซาอุดี 2030
ในเวลาเดียวกัน ระบบเศรษฐกิจที่พร้อมจะพุ่งทะยานก็ต้องการแรงงานเข้าสู่ระบบ ดังนั้น มกุฎราชกุมารซาอุดีจึงดำเนินการด้านการเปิดโอกาสให้ประชากรกลุ่มสตรีพ้นออกจากข้อห้ามเชิงประเพณีและศาสนาตั้งแต่ปีแรกๆ ของการปฏิรูป เซบาสเตียน ซันส์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองและการพัฒนาสังคมซาอุดี ชี้ไว้อย่างนั้นในระหว่างให้สัมภาษณ์แก่เว็บไซต์ข่าวดีดับเบิลยูดอทคอมของเยอรมนีเมื่อปี 2019
ทั้งนี้ ในเดือนเมษายน 2018 สำนักงานอัยการแห่งซาอุดีอาระเบียได้สร้างประวัติศาสตร์ใหม่ คือ การประกาศรับสมัครสตรีมาเป็นเจ้าหน้าที่เป็นครั้งแรกของซาอุฯ โดยเป็นตำแหน่งงานการไต่สวนประจำสนามบินและจุดผ่านแดนต่างๆ ทั้งสิ้น 140 ตำแหน่ง ปรากฏว่า มีสตรีมากกว่า 107,000 รายที่ยื่นใบสมัคร
ในเวลาเดียวกัน คุณภาพชีวิตของสตรีในซาอุฯ ก็เปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีใครคาดคิดว่าจะได้เห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การได้ออกกำลังกาย จ็อกกิ้ง วิ่งมาราธอน เล่นกีฬา เล่นฟิตเนส ปั่นจักรยาน ได้เข้าสู่ตลาดแรงงานมีรายได้เลี้ยงชีพตนเอง ฯลฯ
“นี่ยังเป็นเพียงระยะเริ่มแรกของความเปลี่ยนแปลงสำหรับผู้หญิงในซาอุดีอาระเบีย ไม่ว่าจะในเรื่องการงาน การดำรงชีวิต ทุกสิ่งถูกเปลี่ยนให้แก่ผู้หญิง” ซามะ คินซารา นักศึกษามหาวิทยาลัยให้สัมภาษณ์อย่างนั้นกับรอยเตอร์ เธอศึกษาในภาควิชาการสร้างภาพยนตร์ และเธอมุ่งมั่นที่จะสร้างหนังดีๆ สักเรื่อง เพราะกฎหมายซาอุดีได้ยกเลิกข้อห้ามธุรกิจโรงภาพยนตร์ซึ่งดำรงอยู่ในประเทศเนิ่นนานกว่า 35 ปี
ภาพที่ชี้ให้เห็นว่าความเป็นชาติอนุรักษนิยมสุดโต่งของซาอุดิอาระเบียกำลังเปลี่ยนแปลง คือ ภาพของผู้หญิงที่ปั่นจักรยานตามท้องถนนในนครเจดดาห์มีให้เห็นเป็นเรื่องธรรมดา หญิงสาวนางหนึ่งที่ใช้จักรยานเดินทางทำธุรกิจต่างๆ บอกว่า
“เจดดาห์เดี๋ยวนี้ไม่เหมือนกับเมื่อ 5-6 ปีที่แล้วละค่ะ การนุ่งห่มเสื้อผ้าก็ผ่อนคลายลง มีที่ให้ไปมากขึ้น มีโอกาสให้แก่ผู้หญิงเราเยอะพอๆ กับผู้ชายแล้วค่ะ”
ซาอุฯ เข้าสู่ ยุคหลัง “วะฮาบีย์” แล้วหรืออย่างไร?
กระแสการเปลี่ยนแปลงซึ่งทะยานแรงตั้งแต่ที่เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน เรืองอำนาจขึ้นมา โดยมีการบั่นทอนอำนาจตำรวจศาสนาลงจากเดิมซึ่งเคยเป็นที่หวาดหวั่นกันมาก ผู้คนยังจดจำกันได้ดีว่า ตำรวจศาสนาเคยขับไล่ประชาชนออกจากห้างสรรพสินค้าให้ไปสวดมนต์ และเคยประณามผู้ที่แสดงความใกล้ชิดกับเพศตรงข้าม
อีกตัวอย่างหนึ่งที่ชัดเจนยิ่งคือ การที่บรรดาร้านค้าและร้านอาหารภัตตาคารในซาอุฯ ไม่ปิดทำการในช่วงเวลาละหมาดห้าครั้งต่อวัน นั้น เคยเป็นอะไรที่เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด ตลอดยุคสมัยที่ฝ่ายนักการศาสนายังเข้มแข็ง
เอเอฟพีชี้ว่า การปฏิบัติกิจทางศาสนาที่ไม่ใช่มุสลิมยังเป็นเรื่องต้องห้ามในราชอาณาจักร แต่ที่ปรึกษารัฐบาลรายหนึ่ง นามว่า อาลี ชิฮาบี เคยกล่าวกับสื่ออเมริกัน อินไซเดอร์ ว่า การอนุญาตในเรื่องนี้อยู่ในรายการสิ่งที่จะดำเนินการกันในอนาคต
ยิ่งกว่านั้น ในขณะที่ทางการซาอุฯประกาศชัดเจนว่าจะไม่มีการยกเลิกข้อห้ามเรื่องสุรา ซึ่งเป็นข้อห้ามสำคัญในศาสนาอิสลาม แต่แหล่งข่าวมากมาย รวมทั้งนักการทูตจากกลุ่มประเทศรอบอ่าวเปอร์เซียบอกว่าเคยได้ฟังเจ้าหน้าที่ซาอุดีพูดในการประชุมลับว่า “เรื่องนี้จะค่อยๆ เกิดขึ้น”
ไม่เป็นการสรุปเกินจริงหากจะลงความเห็นว่าซาอุดีอาระเบียได้เข้าสู่ยุคหลังวะฮาบีย์แล้ว แม้รัฐบาลยังต้องรักษาสัมพันธ์อันดีไว้
“ฝ่ายศาสนาไม่มีอำนาจวีโต้รัฐบาลอีกต่อไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนโยบายเศรษฐกิจ สังคม หรือการต่างประเทศ” กล่าวโดย คริสติน ดีวอน นักวิชาการอาวุโสแห่งสถาบันรัฐรอบอ่าวอาหรับ ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงวอชิงตัน
คู่แข่งและผู้คุกคามถูกกำจัดเกลี้ยง
ผู้นำศาสนาที่วิพากษ์มกุฎราชกุมารเอ็มบีเอส หรือสนับสนุนคู่แข่งของพระองค์ ถูกเช็กบิลไปหลายราย อาทิ
สุไลมาน อัลดีไวช์ ผู้นำศาสนาซึ่งมีสายสัมพันธ์กับอดีตมกุฎราชกุมารมูฮัมเหม็ด บิน นาเยฟ (คู่แข่งสำคัญแห่งองค์เอ็มบีเอส) หายไปจากสายตาของสาธารณชนนับจากที่ถูกคุมตัวในเมกกะปี 2016 หลังจากที่ได้เขียนบนทวิตเตอร์เล่านิทานเกี่ยวกับเด็กที่ถูกบิดาตามใจจนเหลิง เอเอฟพีรายงานอย่างนั้น โดยอ้างกลุ่มสิทธิมนุษยชนในกรุงลอนดอน และอ้างอิงแหล่งข่าวใกล้ชิดกับครอบครัวของสุไลมาน
อีกหนึ่งรายคือ ซัลมาน อัลเอาดาห์ ผู้นำศาสนาสายกลาง ถูกควบคุมตัวในปี 2017 หลังจากเรียกร้องให้ซาอุฯ แก้แค้นกาตาร์
“โดยทางการเมืองแล้ว มกุฎราชกุมารได้กำจัดฝ่ายตรงข้ามไปทั้งหมดแล้ว” คริสติน ดีวอน กล่าวกับเอเอฟพี
โดย รัศมี มีเรื่องเล่า
(ที่มา: เอเอฟพี 60มินิทส์ ซีบีเอส รอยเตอร์ เอพี เอ็นบีซี บีบีซี ทวิตเตอร์ อาระเบียน บิสซิเนสดอทคอม ฟอร์บส์มิดเดิลอีสท์ อาหรับนิวส์ดอทคอม ดีดับเบิลยูดอทคอม)