xs
xsm
sm
md
lg

กองทัพลับพิเศษมะกันกับปฏิบัติการแซ่บไม่สน ก.ม. : ปลอมลายนิ้วมือ แก้ฐานข้อมูลประเทศอื่น เว่อร์วังกว่าหนังบู๊

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ชุดชัลวาร์ คามีซ (ฉลององค์สีเขียวของดัชเชสเคท) อันงามสง่าในประเพณีเอเชียใต้ ถูกนักพัฒนาอุปกรณ์สายลับเอามาสร้างเป็นอุปกรณ์จารกรรม โดยนำเส้นลวดความยาวเป็นหลายเมตร มาเย็บร้อยซ่อนไว้ภายในชุด เมื่อจารชนสวมชุดนี้ก็จะกลายเครื่องรับสัญญาณวิทยุเดินได้ สามารถดักจับสัญญาณวิทยุกำลังต่ำๆ ซึ่งอยู่ใกล้เคียง และดักจับได้กระทั่งสัญญาณโทรศัพท์มือถือ ในภาพนี้ คือเจ้าชายวิลเลียมและดัชเชสเคทแห่งพระราชวงศ์อังกฤษ ในคราวเสด็จเยือนม้สยิดบาดชาฮี ในกรุงละฮอร์ ปากีสถาน เมื่อ 17 ตุลาคม 2019
กองทัพปิดลับอำพรางตัวซึ่งใหญ่โตที่สุดเท่าที่เคยปรากฏในโลก คือ กองกำลังลับระห่ำโลกของกระทรวงกลาโหมแห่งสหรัฐอเมริกา (เพนตากอน) ที่ถูกก่อตั้งมาได้ประมาณ 10 ปีแล้ว ปัจจุบันนี้ เติบใหญ่ขยายตัวจนมีบุคลากรมหาศาลกว่า 60,000 ชีวิตอยู่ในสังกัด

มากมายของคนเหล่านี้ปฏิบัติภารกิจโดยใช้อัตลักษณ์อื่นๆ ที่ไม่ใช่ตัวตนแท้จริง และดำรงตนแบบเงียบๆ โลว์โปรไฟล์สุดๆ แต่ทุกคนล้วนเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมไซส์ยักษ์ซึ่งเรียกขานกันว่า “ซิกเนเจอร์ รีดักชัน - Signature Reduction” อันเป็นโปรแกรมปกปิดอัตลักษณ์แท้จริงโดยการปลอมตัวบ้าง การล้วงเข้าไปแก้ไขฐานข้อมูลความมั่นคงของประเทศอื่นบ้าง เพื่อเปิดทางให้สปายสายลับสามารถปฏิบัติภารกิจด้านความมั่นคงได้อย่างราบรื่น ทั้งนี้ การดำเนินงานลับสุดยอดของ Signature Reduction จะต้องแน่นอนหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ โดยจะปิดทุกความเสี่ยงด้วยทุกวิธี กระทั่งว่าต้องไม่เหลือพื้นที่ให้ผิดพลาดได้เลย แม้ต้องทำผิดกฎหมายกันสุดๆ ก็ตาม

‘นิวสวีค’ เจาะโลกปิดลับแห่ง Signature Reduction: ทำทุกสิ่งเพื่อความมั่นคงของชาติ

กองกำลังซิกเนเจอร์ รีดักชัน ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าส่วนงานปิดลับของซีไอเอถึงกว่าสิบเท่าตัว รับปฏิบัติงานตามที่ถูกมอบหมายทั้งภายในสหรัฐฯและในต่างประเทศ ทั้งประเภทที่สวมเครื่องแบบทหารและแบบอำพรางตนเองไว้ภายใต้เครื่องแต่งกายพลเรือน บ้างทำงานในชีวิตจริงแบบตัวเป็นๆ บ้างทำงานหลังฉากเป็นจารชนไซเบอร์ บางครั้งบางคราวก็แทรกซึมอยู่ในธุรกิจเอกชน ภาคการเงินการธนาคารและบัตรเครดิต โดยนำเอาทหาร พลเรือน และบริษัทผู้เชี่ยวชาญ มาปฏิบัติงานเพื่อความมั่นคงของชาติภายใต้รูปเสียงเรียงนามที่ปลอมทั้งเพ

ภารกิจของบุคลากรแห่ง Signature Reduction มีมหาศาล เพราะต้องดำเนินงานที่เกี่ยวพันกับการลักลอบเดินทางข้ามประเทศ และการหลบหลีกระบบตรวจสอบที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ภายในโลกยุคใหม่ซึ่งเต็มไปด้วยความโปร่งใส

ยิ่งไปกว่านั้น สงครามไซเบอร์ของเพนตากอนที่ระเบิดระเบ้อสะท้านโลกและทำให้สหรัฐฯ ครองความเป็นเจ้า ทำให้ต้องมีสปายสายลับและจารชนหลายพันคนที่กำบังตนเองด้วยตัวตนเก๊และอัตลักษณ์ปลอม เพื่อปฏิบัติภารกิจอันสุดแสนชั่วร้ายละเมิดทุกกฎทุกกติกาโลกในขนาดที่ว่า หากฝ่ายรัสเซียหรือจีนทำบ้าง สหรัฐฯ จะประณามสาดเสียเทเสีย!!

อาคารเพนตากอนรูปห้าเหลี่ยมอันเป็นสำนักงานใหญ่ของกระทรวงกลาโหม สหรัฐอเมริกา ณ เขตอาร์ลิงตัน รัฐเวอร์จิเนีย โดยเป็นสำนักงานที่มีพนักงานมากที่สุดในโลก
นิวสวีคเสนอรายงานพิเศษเจาะลึกโลกปิดลับใบนี้ ภายหลังการทุ่มเทอุตสาหะไปกับการสืบสวนสอบสวนกันกว่า 2 ปี โดยมีทั้งการตรวจสอบจดหมายสมัครงานมากกว่า 600 ชิ้น และโฆษณารับสมัครงาน 1,000 ชิ้น การยื่นหนังสือขอให้เปิดเผยเอกสารของทางการเป็นจำนวนหลายสิบครั้ง โดยอาศัยอำนาจกฎหมายสิทธิเสรีภาพด้านข้อมูลข่าวสาร  และการสัมภาษณ์บุคคลที่เกี่ยวข้องตลอดจนผู้มีอำนาจกำหนดนโยบายด้านกลาโหมเป็นจำนวนหลายสิบราย

ภารกิจปกปิดตัวตนแท้จริงของมือปฏิบัติการ: งานยักษ์ที่ไร้กฎ - ไร้ตรวจสอบ - งบจัดจ้าง 900 ล.ดอลล์

องค์ความรู้มากมายที่ผู้คนได้ทราบจากรายงานของนิวสวีค คือ โฉมหน้าในเงามืดของกองทัพอเมริกันที่แทบไม่เป็นที่รู้จักกันมาก่อน ตลอดจนวิธีดำเนินปฏิบัติการต่างๆ ที่เห็นได้ว่ายังไม่มีกฎระเบียบควบคุมกันเลย ไม่มีใครทราบว่าโปรแกรมนี้ โดยรวมแล้วมีขนาดใหญ่โตมโหฬารถึงขนาดไหน นอกจากนั้นการขยายตัวพุ่งพรวดของโปรแกรม Signature Reduction ก็ไม่เคยถูกตรวจสอบว่ามันจะส่งผลกระทบต่อนโยบายต่างๆ ของฝ่ายทหารและวัฒนธรรมของฝ่ายทหารอย่างไรบ้าง

ด้านรัฐสภาสหรัฐฯ ก็ไม่เคยไต่สวนข้อมูลของกองกำลังลับนี้เลย ทั้งที่ว่าในทางปฏิบัตินั้น ฝ่ายทหารซึ่งเร่งพัฒนากองกำลังปิดลับอันใหญ่โตมหึมายิ่งนี้ ได้กระทำการอันท้าทายต่อกฎหมายของสหรัฐฯ ต่ออนุสัญญาเจนีวา (Geneva Conventions) และต่อจรรยาบรรณทหาร ตลอดจนความรับผิดชอบขั้นพื้นฐาน

ในโปรแกรม Signature Reduction มีบริษัทผู้เชี่ยวชาญของเอกชนมากมายกว่า 130 แห่งที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการดำเนินงานในโลกปิดลับแห่งใหม่แห่งนี้ แล้วก็มีองค์กรภาครัฐบาลที่ปิดลับและแทบไม่เคยเป็นที่รู้จักกันมาก่อน จำนวนหลายสิบแห่ง เป็นผู้ให้ความสนับสนุนแก่โปรแกรม รวมทั้งคอยแบ่งสรรงานจัดจ้างปิดลับทั้งปวง และคอยกำกับตรวจสอบการปฏิบัติการที่สาธารณชนไม่ได้มีโอกาสล่วงรู้

เมื่อคำนวณโดยรวมแล้วบริษัทเหล่านี้ได้รับงานมูลค่ามากกว่า 900 ล้านดอลลาร์ต่อปี เพื่อให้บริการแก่กองกำลังสายลับแห่งเพนตากอน โดยครอบคลุมทุกรายละเอียดงานการสนับสนุนปฏิบัติการปลอมตัวและแทรกซึม
- ตั้งแต่การสร้างเอกสารหลักฐานปลอม (บัตรประชาชน เลขผู้เสียภาษี ใบขับขี่ แผ่นป้ายทะเบียนรถ บัตรเครดิต ฯลฯ)
- การจ่ายบิลเรียกเก็บเงิน (และการชำระภาษี) ของบุคคลที่อยู่ระหว่างปฏิบัติการภายใต้ตัวตนปลอม
-การสร้างเครื่องของเพื่อแปลงโฉมสายลับให้เป็นใครสักคนขึ้นมา ตลอดจนสร้างเครื่องมืออื่นๆ ที่ทำให้หลุดรอดระบบตรวจสอบติดตาม (อาทิ ชุดปกปิดร่างกายไม่ให้ปรากฏบนจอภาพในระบบตรวจจับผู้บุกรุกด้วยเทคโนโลยีตรวจจับด้วยอุณหภูมิ) อีกทั้งช่วยให้สายลับสามารถผ่านฉลุยเมื่อต้องเจอกับกระบวนการตรวจพิสูจน์ตัวตน เช่น ฉลุยผ่านขั้นตอนตรวจคนเข้าเมืองได้อย่างเหลือเชื่อ
- การสร้างเครื่องมืออุปกรณ์สายลับเพื่อถ่ายภาพและดักฟังเสียงของกิจกรรมต่างๆ ในพื้นที่สุดแสนจะห่างไกลในตะวันออกกลางและแอฟริกา

บัตรเจ้าหน้าที่สถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงมอสโก ไรอัน ฟอเกิล เลขานุการตรีฝ่ายการเมือง ผู้ต้องสงสัยว่าเป็นสายลับอเมริกัน และถูกฝ่ายความมั่นคงรัสเซียจับตัวได้คาหนังคาเขา ขณะพยายามสร้างเครือข่ายสายลับ  รัสเซียนำตัวมาออกข่าวประจาน และเนรเทศเมื่อปี 2013 ภาพจากคลิปข่าวของรัสเซียซึ่งซีเอ็นเอ็นนำมาออกอากาศครึกโครมไปทั่วโลก
ตรวจแถว 4 ทีมพระเอกแห่งกองทัพลับพิเศษ

นอกเหนือจากภารกิจที่จัดจ้างให้บริษัทผู้เชี่ยวชาญของเอกชนดำเนินการให้ ภารกิจที่ยากเข็ญแท้จริงอยู่ในมือของเจ้าหน้าที่หลายหมื่นรายของกองทัพลับพิเศษ 4 ฝ่าย

มากกว่าครึ่งหนึ่งของกองกำลังในโปรแกรม Signature Reduction เป็น กองกำลังปฏิบัติการพิเศษ ซึ่งก็คือบรรดานักรบในเงามืดที่ลุยเข้าสู่พื้นที่สงครามต่างๆ เพื่อไล่ล่าบรรดาผู้ก่อการร้าย ตั้งแต่ปากีสถานไปจนถึงแอฟริกาตะวันตก ตลอดจนสารพัดพื้นที่ความขัดแย้งรุนแรงต่างๆ ที่ชาวโลกยังไม่มีโอกาสจะรู้จัก อันเป็นปฏิบัติการเบื้องหลังแนวพรมแดนของประเทศข้าศึกศัตรูอย่างเกาหลีเหนือ และอิหร่าน ซึ่งนับวันแต่จะมีปริมาณงานเพิ่มทวีขึ้นมา

สำหรับส่วนงานใหญ่โตอันดับสอง คือ กองกำลังผู้เชี่ยวชาญการข่าวกรองทหารจำนวนมหาศาล ซึ่งประกอบด้วยทีมสายลับเสาะหาข่าว ทีมจารชนต่อสู้กับฝ่ายข่าวกรองของศัตรู อันเป็นภารกิจ Counter Intelligence จำพวกการป้องกันจารกรรม วินาศกรรม และการลอบสังหาร และทีมงานด้านภาษาศาสตร์

แหล่งข่าววงในเปิดเผยว่า ในแต่ละปฏิบัติการอันตราย จะมีการวางกำลังผู้ปฏิบัติการคราวละหลายพันรายโดยจะ“ปกปิดอำพราง”ไม่มากก็น้อย เพื่อปกป้องตัวตนแท้จริงซึ่งจะช่วยตั้งแต่ขั้นตอนแทรกซึมเข้าสู่พื้นที่ปฏิบัติการจรดจนเมื่อจบภารกิจก็สามารถกลับสู่ชีวิตปกติโดยไม่ตกเป็นเป้าหมายการแก้แค้นจากฝ่ายศัตรู

ส่วนกลุ่มงานใหญ่ใหม่ที่สุดและเติบโตรวดเร็วที่สุด คือ กองกำลังปิดลับที่เกาะติดกับคีย์บอร์ด นั่นคือนักรบไซเบอร์ผู้ล้ำหน้ากว่าใครในสามโลกและเป็นผู้รวบรวมข่าวกรองไซเบอร์สุดยอดเทพเจ้า บุคลากรจอมขมังเวทย์เหล่านี้จะใช้อัตลักษณ์ปลอมเวลาทำงานออนไลน์พร้อมกับใช้เทคนิค “ไม่เผยตัวบ่งชี้ใดๆ” และ“เผยตัวบ่งชี้เก๊และลับลวงพราง” มาอำพรางซุกซ่อนว่าตนเองเป็นใครหรืออยู่ที่ไหนในขณะปรากฏตัวทางออนไลน์ภายในภารกิจไล่ล่าตามหาเป้าหมายอันทรงค่าทั้งปวง และภารกิจรวบรวม“ข้อมูลข่าวสารสาธารณะ” ในการนี้อัจฉริยะแห่งกองกำลังไซเบอร์จะกระทำการเชิงรุกกระทั่งว่าเข้าไปตีเนียนอยู่ในการรณรงค์ต่างๆเพื่อสร้างอิทธิพลและควบคุมบงการโซเชียลมีเดีย

แต่ก่อนแต่ไรนั้นจารชนไซเบอร์หลายร้อยรายทีเดียวทำงานประมาณนี้อยู่ในสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ (NSA) หรืออย่างน้อยก็ทำงานให้แก่ NSA แต่ในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา ทุกหน่วยข่าวกรองทหารและหน่วยปฏิบัติการพิเศษทั้งปวงต่างมีการพัฒนาหน่วยปฏิบัติการใยแมงมุมในบางรูปแบบขึ้นมาทั้งเพื่อทำภารกิจรวบรวมข่าวกรองและเพื่อหนุนช่วยปฏิบัติการความมั่นคงที่เป็นภารกิจหลัก

เหล่าทัพนักรบไซเบอร์ หนึ่งในพระเอกแห่งกองทัพลับพิเศษที่เกาะติดกับคีย์บอร์ด จะใช้อัตลักษณ์ปลอมเวลาทำงานออนไลน์ พร้อมกับใช้เทคนิค “ไม่เผยตัวบ่งชี้ใดๆ” และ “เผยตัวบ่งชี้เก๊และลับลวงพราง”
อีกฝ่ายงานหนึ่งซึ่งต้องจับตาให้ดี คือ โครงการอภิมหาลับสุดยอด ชื่อ “โปรแกรมหลอกระบบตรวจสอบ ด้วยวิธีพิเศษ” (Special Access Programs หรือ SAPs อันเป็นชื่อในภาษาอังกฤษ) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการใช้เครื่องมือพิเศษ และ/หรือวิธีพิเศษไปหลอกระบบตรวจสอบอัตลักษณ์บุคคล (เช่น ตรวจความถูกต้องของลายนิ้วมือและลักษณะของอวัยวะบนใบหน้าของชายที่อ้างตนว่าเป็น นาย ก เป็นลายนิ้วมือของ นาย ก ซึ่งเก็บอยู่ฐานข้อมูล) ที่ประเทศอื่นใช้อยู่ จนกระทั่งว่าระบบไม่สามารถตรวจพบความผิดปกติได้ (เช่นสายลับชื่อนาย ข อ้างว่าตนเป็น นาย ก แต่เมื่อตรวจดูลายนิ้วมือของนาย ข ระบบไม่สามารถตรวจพบความไม่ถูกต้องนี้ เพราะ SAPs ใช้วิธีพิเศษเข้าไปป่วน และจึงมองเห็นว่าลายนิ้วมือของนาย ข คือลายนิ้วมือของ นาย ก ดังนั้น สายลับรายนี้ก็สามารถผ่านจุดตรวจนี้ได้สำเร็จ)

SAPs โปรแกรมหลอกระบบตรวจสอบ ด้วยวิธีพิเศษ: ปฏิบัติการฉ้อฉล แหกทุกข้อห้ามเพื่อภารกิจสำเร็จ

ในยุคอิเล็กทรอนิกส์เฉกเช่นปัจจุบันนี้ ภารกิจสำคัญประการหนึ่งของโปรแกรม Signature Reduction ได้แก่ การคอยดูแลให้องค์กรและคนในองค์กร ตลอดกระทั่งเครื่องใช้ไฮเทคพวกรถยนต์และเครื่องบินซึ่งเกี่ยวข้องอยู่ในการปฏิบัติการปิดลับต่างๆ ถูกคลุมด้วยหน้ากากปกปิดมิดชิด ทั้งนี้ การปกป้องอำพรางจะครอบคลุมทุกสิ่งอย่าง ตั้งแต่การลบล้างร่องรอยของอัตลักษณ์ตัวตนแท้จริงทางอินเทอร์เน็ต ไปจนกระทั่งการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเท็จเพื่อปกป้องภารกิจและผู้ปฏิบัติงานของฝ่ายตน

ภารกิจดังกล่าวสวนทางกับกระแสโลก ที่พากันสร้างระบบการจดจำอัตลักษณ์ตัวตนให้ได้อย่างเป๊ะปัง (เพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนถูกฉ้อโกง) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีการใช้ระบบระบุตัวตนด้วยชีวมิติ (ที่เรียกว่า biometrics โดยพิสูจน์กันด้วยลักษณะทางกายภาพ เช่น ลายนิ้วมือ รูม่านตา โครงสร้างใบหน้า เสียง) Signature Reduction จึงต้องเอาชนะเครื่องอ่านลายนิ้วมือ และอุปกรณ์จดจำใบหน้า ซึ่งติดตั้ง ณ ด่านข้ามพรมแดน ด้วยการสร้างเครื่องมือและวิธีผิดกฎหมายต่างๆ ที่ทำให้ระบบตรวจจับเหล่านี้ ไม่สามารถตรวจตราได้ถูกต้องเป็นปกติ โดยจะล้วงเข้าไปล่วงละเมิดหลอกระบบบันทึกประวัติของประเทศเป้าหมาย จนมั่นใจว่าอัตลักษณ์ตัวตนเก๊ของสายลับจะจับคู่ตรงเป๊ะกับอัตลักษณ์ตัวตนที่บันทึกอยู่ในฐานข้อมูล เพื่อที่ว่าบรรดามือปฏิบัติการแห่งกองทัพสหรัฐฯ จะสามารถผ่านเข้าไปปฏิบัติการจารกรรมได้

ขณะที่เครื่องมือด้านชีวมิติ และบัตรประจำตัวต่างๆ ซึ่งเป็น “Real ID” (คือนำไปใช้ได้และน่าเชื่อถือมากขึ้น เพราะหน่วยงานทั้งปวงจะยอมรับ โดยถือว่ามีการตรวจสอบข้อมูลและพิสูจน์ตัวตนเบื้องต้นแล้ว) นั้น เป็นศัตรูของงานปิดลับ ชีวิตออนไลน์ที่ทำให้ “มีข้อมูลดิจิตอลท่วมท้นเต็มไปหมด” ก็ถือเป็นศัตรูของงานปิดลับเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะในยุคที่ทีมปฏิบัติการลับของสหรัฐฯ ต้องโรมรันกับผู้ก่อการร้ายสายโหดกลุ่ม ISIS ครอบครัวของทหารในทีมจึงตกเป็นเป้าหมาย ยิ่งกว่านั้น การที่ข้อมูลข่าวสารออนไลน์เกี่ยวกับบุคคลต่างๆ ปรากฏเกลื่อนกลาดไปหมด (บวกกับการที่แฮกเกอร์ต่างชาติได้ข้อมูลโดยแฮกเข้าไปและทำการจารกรรม) ดังนั้น พวกหน่วยข่าวกรองต่างชาติมีโอกาสมากขึ้นที่จะ“กระชากหน้ากาก”ของสายลับอเมริกันได้สำเร็จ

ด้วยเหตุนี้ โปรแกรม Signature Reduction จึงเป็นศูนย์กลางของภารกิจต่อต้านการก่อการร้าย และเป็นส่วนหนึ่งในการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ของเพนตากอน ไปสู่การแข่งขันระดับมหาอำนาจยักษ์ใหญ่กับรัสเซียและจีนอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นด้านการแข่งขัน, การขยายอิทธิพล, หรือการก่อกวนในระดับ“ที่ต่ำกว่าระดับการสู้รบด้วยกำลังอาวุธ” ซึ่งเป็นสิ่งที่ฝ่ายทหารเรียกกันว่า สงครามใน“พื้นที่สีเทา”

มือปลอมทำด้วยซิลิโคนเพื่อใช้ในชีวิตประจำวันสำหรับผู้ที่มีอวัยวะขาด/บกพร่อง เมื่อผนวกกับวิทยาการขั้นสูง อวัยวะปลอมจึงถูกผลิตให้แลดูเหมือนจริงอย่างยิ่ง พร้อมกับสร้างลายนิ้วมือเข้าไปได้ด้วย  การปลอมตัวด้วยอัตลักษณ์เก๊จึงประสบความสำเร็จได้อย่างยอดเยี่ยม ในภาพนี้เป็นผลงานการผลิตมือปลอมโดยบริษัทแคร์ โปรสเธติกส์ แอนด์ ออร์โธติกส์ (Kare Prosthetics and Orthotics) ซึ่งประชาสัมพันธ์ผลงานและบริการอยู่บนเว็บไซต์ Indiamart.com
แต่ปัญหาคือกองทัพปิดลับพิเศษค่อนข้างจะฝ่าฝืนกม. จรรยาบรรณทหาร และอนุสัญญาเจนีวา

แหล่งข่าวรายหนึ่งของนิวสวีคเป็นเจ้าหน้าที่เพิ่งเกษียณอายุในตำแหน่งอาวุโสที่รับผิดชอบงานกำกับตรวจสอบโปรแกรม Signature Reduction ตลอดจนโปรแกรมหลอกระบบตรวจสอบ ด้วยวิธีพิเศษ (SAPs) เขาแสดงความกังวลใจว่าขณะที่โปรแกรมพวกนี้มีประโยชน์อย่างยิ่ง แต่ก็มีปัญหาทีเดียว ไม่มีใครทราบแน่ชัดถึงขอบเขตและเนื้องานทั้งหมดของโปรแกรมสุดยอดปิดลับนี้ อีกทั้งไม่มีการขบคิดพิจารณาอะไรนักหนาว่าโปรแกรมนี้จะส่งผลกระทบใดๆ ต่อสถาบันทางทหาร ทั้งนี้ ปฏิบัติการที่ผ่านมามีการฝ่าฝืนกฎหมายของประเทศ และอาจจะขัดกับจรรยาบรรณทหารและอนุสัญญาเจนีวาว่าด้วยสิทธิมนุษยชน

แหล่งข่าวรายนี้กล่าวด้วยว่า ความอยากจะเพิ่มขีดความสามารถปกปิดตัวตน เพื่อที่ข้าศึกจะได้มองไม่เห็นจับไม่ได้ มากขึ้นเรื่อยๆ นั้น ได้สร้างความคลุมเครือให้แก่สิ่งที่สหรัฐฯกำลังกระทำอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลก แล้วยังทำให้ความพยายามจะปิดฉากการสู้รบขัดแย้ง ก็ยิ่งลำบากขึ้นไปอีก

“อย่าว่าแต่จะพูดเรื่องที่ว่าโปรแกรมนี้สร้างอะไรนี้ขึ้นมา แค่จะเคยได้ยินคำว่า Signature Reduction หรือไม่ คนส่วนใหญ่ก็ยังไม่เคยได้ยินเลย” เขากล่าวโดยขอให้สงวนนาม เนื่องจากนี่เป็นเรื่องที่ถูกจัดชั้นความลับในลำดับสูงลิ่ว

ชีวิตสายลับในภารกิจปกปิดอัตลักษณ์ให้แก่มือปฏิบัติการแห่ง Signature Reduction

ทุกๆ เช้าในเวลา 10.00 น. โจนาธาน ดาร์บี เริ่มต้นภารกิจตามเก็บจดหมายและพัสดุที่ส่งมาทางไปรษณีย์ ดาร์บีไม่ใช่ชื่อจริงของเขา แต่ก็ไม่ใช่ชื่อปลอมที่เขาใช้ในใบขับขี่ที่ออกโดยรัฐมิสซูรี ซึ่งเขาเอามาใช้ในเวลาทำงานสปายสายลับ!!

ใช่แต่เท่านั้น รถยนต์หลวงที่เขาใช้ขับ ซึ่งเป็นหนึ่งในยานพาหนะกว่า 200,000 คันของสำนักบริหารงานบริการทั่วไปในสังกัดรัฐบาลสหรัฐฯ ก็ไม่ได้จดทะเบียนเอาไว้ในชื่อจริงหรือชื่อปลอมของเขา!!

แล้วยังแผ่นป้ายทะเบียนรถรัฐแมริแลนด์ซึ่งติดอยู่ที่รถที่เขาขับ ก็ไม่ได้เป็นทะเบียนจริงๆ ของรถเช่นกัน และแน่นอนเป็นอย่างยิ่งว่าไม่ว่าจะรถยนต์ ใบขับขี่ หรือแผ่นป้ายทะเบียน ล้วนแล้วแต่ไม่สามารถสืบสาวย้อนรอยไปถึงตัวตนของคุณดาร์บีหรือขององค์การต้นสังกัด

ในเวลาเดียวกัน สถานที่ทำงานของดาร์บี และที่ตั้งของสถานที่ต่างๆ ซึ่งเขาตระเวนไปก็ถือเป็นความลับทั้งหมดทั้งสิ้น

สำหรับข้อมูลจริงของผู้ชายท่านนี้ที่ใช้นามปลอมว่าดาร์บี มีดังนี้ เขาเกษียณอายุจากกองทัพบกสหรัฐฯ โดยทำงานในด้านการต่อต้านข่าวกรองนาน 20 ปี และเคยปฏิบัติภารกิจในแอฟริกา 2 ครั้ง ซึ่งเขาเดินทางไปปฏิบัติงานแบบโลว์โปรไฟล์ในเอธิโอเปียและซูดานด้วยการปลอมตัวเป็นนักธุรกิจข้ามชาติ ณ ชั่วโมงนี้ เขาทำงานให้แก่บริษัทผู้รับเหมางานสปายสายลับในโครงการ Signature Reduction ซึ่งตั้งฐานอยู่ที่รัฐแมริแลนด์ ทั้งนี้ เขาขอร้อง นิวสวีค ว่าอย่าได้ระบุชื่อจริงหรือชื่ออำพรางที่เขาใช้ ตลอดจนชื่อของบริษัทที่เขาทำงานให้

ในการออกรอบตระเวนเก็บจดหมายนั้น ดาร์บีหิ้วหีบใบใหญ่ไปยังที่ทำการไปรษณีย์และบริการไปรษณีย์ซึ่งตั้งอยู่ตามร้านรวงต่างๆ ในมหานครวอชิงตัน ดีซี รวมแล้วประมาณ 40 แห่ง ในหีบจะเต็มไปด้วยจดหมายและพัสดุภัณฑ์มากมายซึ่งใช้ที่อยู่ไปรษณีย์ต้นทางของบรรดาพื้นที่ชนบทต่างๆ

เมื่อกลับถึงที่ทำงาน ดาร์บีทำการคัดแยกกลุ่ม โดยพวกที่เป็นใบเรียกเก็บเงิน จะจัดส่งไปยังแผนกรับผิดชอบทางด้านการเงิน แล้วจัดทำกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับจดหมายหลายโหลทั้งจดหมายส่วนตัวและจดหมายธุรกิจที่ส่งไปรษณีย์มาจากประเทศโน่นนี่เยอะมาก

พาสปอร์ตของสายลับเจมส์ บอนด์ (รุ่นทิโมธี ดาลตัน - เจมส์ บอนด์รุ่นที่ 4) ซึ่งบริษัท Indy Props Llc. ผลิตให้ใช้เป็นพร็อพภาพยนตร์ โดยมีความเนี้ยบและเหมือนจริงขั้นเทพ  บริษัทนำผลงานขึ้นแสดงบนเว็บไซต์ indyprops.com
นำข้อมูลตัวตนปลอมของสายลับเข้าสู่ระบบจริงสามกลุ่ม - เคยโป๊ะแตกครั้งใหญ่

ในการนี้ ภารกิจหลักของดาร์บีคือทำการล็อกอินข้อมูลปลอมของสายลับเข้าสู่ระบบฐานข้อมูล และจัดเตรียมข้อมูล-เอกสารให้พร้อมแก่การใช้งานเมื่อสายลับต้องปลอมตัวไปปฏิบัติภารกิจ ข้อมูล-เอกสารประกอบด้วย 3 กลุ่ม คือ

1.ตัวช่วยปกปิดตัวตนแท้จริง (เช่น เลขบัตรประชาชนปลอม เลขผู้เสียภาษีปลอม เลขประกันสังคมปลอม) ซึ่งทีมของเขาเรียกมันว่า “กลไก”สนับสนุนการปลอมตัวภายใต้โปรแกรม Signature Reduction อันเป็นการปกปิดตัวตนแท้จริงของผู้ปฏิบัติการด้านความมั่นคง

2.หนังสือเดินทาง และใบขับขี่ออกโดยรัฐ ภายใต้ชื่อของบุคคลที่มิได้มีอยู่จริง

3.เอกสารอื่นๆ เป็นต้นว่า ใบเรียกเก็บเงิน เอกสารภาษี บัตรสมาชิกองค์การต่างๆ สิ่งเหล่านี้จะสร้างให้ตัวตนปลอมๆ ดูว่าเป็นคนจริงๆ ขึ้นมา

สำหรับการป้อนข้อมูลปลอมของสายลับเข้าสู่ระบบฐานข้อมูล พร้อมกับตรวจสอบซ้ำว่า "กลไก” เหล่านี้ดูเป็นของจริงหรือไม่ ดาร์บีจะล็อกอินเข้าไปในฐานข้อมูล 2 แห่ง

หนึ่งนั้นคือฐานข้อมูลเอกสารการเดินทางและอัตลักษณ์ ซึ่งเป็นคลังข้อมูลประชาคมข่าวกรองที่รวบรวมตัวอย่างหนังสือเดินทางและตราวีซาของประเทศทั้งปวง ทั้งที่เป็นของจริง, ของปลอม, และของที่ถูกดัดแปลงเพื่อสนับสนุนภารกิจของสายลับ รวบรวมไว้ทั้งสิ้นราว 300,000 ตัวอย่าง

ส่วนอีกหนึ่งคือ ระบบบริหารจัดการข้อมูลตัวตนเก๊ อันเป็นระบบลับยิ่งยวดที่เก็บทะเบียนข้อมูลตัวตนเก๊ทั้งปวงที่สายลับนำไปใช้ในปฏิบัติการต่างๆ  ส่วนสำหรับพวกอัตลักษณ์ปลอมที่ใช้ในการเดินทางไปปฏิบัติภารกิจลับในต่างประเทศ ดาร์บีและทีมงานยังจะต้องเข้าไปแก้ไขเปลี่ยนแปลงฐานข้อมูลของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรสหรัฐฯ (U.S. immigration and customs) เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ที่ไปประกอบกิจกรรมผิดกฎหมายทั้งหลายเพื่อความมั่นคงของชาติ จะสามารถกลับเข้าสหรัฐฯ ได้โดยไม่ยุ่งยาก


ในเรื่องการสร้างหลักฐานที่ทำให้เชื่อว่าอัตลักษณ์ปลอมของสายลับ เป็นของจริง (เช่น หากฝ่ายศัตรูเข้าไปตรวจสอบว่าเลขบัตรประชาชนของสายลับ เป็นของจริงหรือไม่ ก็จะพบว่าหมายเลขดังกล่าว ปรากฏในระบบทะเบียนราษฎร์จริงๆ) นั้น หน่วยของดาร์บีจะดำเนินการกับบรรดาสำนักงานปิดลับในกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิและกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ ตลอดจนในรัฐต่างๆ แทบจะทั่วทั้ง 50 รัฐ เพื่อนำเอา “กลไก” ภายใต้ชื่อปลอมป้อนเข้าระบบจริง

เมื่อเดือนเมษายน 2014 โลกลี้ลับใบนี้เคยถูกเจาะให้เห็นภาพข้างใน ชนิดที่ว่านานๆ จะเกิดขึ้นมาสักครั้ง โดยมี นักข่าวยอดเก่งคนหนึ่งของ นอร์ทเวสต์ พับลิก บรอดแคสติ้ง ทำข่าวสืบสวนสอบสวน ซึ่งกลายเป็นการเปิดให้เห็นศักยภาพขั้นสูงของโปรแกรมลับ Signature Reduction โดยมีการรายงานถึงการจัดทำใบขับขี่ของรัฐวอชิงตันซึ่งใช้งานได้จริง แต่ออกให้แก่บุคคลที่ไม่มีตัวตนจริง เป็นจำนวนหลายร้อยใบ และจัดส่งให้แก่รัฐบาลกลาง นักข่าวรายงานด้วยว่า การมีอยู่ของ “โปรแกรมใบขับขี่ลับ” (นักข่าวเรียกอย่างนั้น) เป็นอะไรที่แม้กระทั่งผู้ว่าการรัฐก็ยังไม่ทราบเลยว่ามีการดำเนินการกัน

รายงานข่าว “โปรแกรมใบขับขี่ลับ” ที่ขุดคุ้ยโดย นอร์ทเวสต์ พับลิก บรอดแคสติ้ง เมื่อเมษายน 2014 ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://www.nwnewsnetwork.org/post/washingtons-fictitious-drivers-license-program-larger-first-reported
สร้างตัวตนปลอมให้สายลับ งานหนักหนา ได้คนในแบงก์/บัตรเครดิตให้ความร่วมมือ!!

ก่อนจะมาถึงยุคอินเทอร์เน็ต ซึ่งยังเป็นห้วงเวลาที่ตำรวจท้องถิ่นและเจ้าหน้าที่ชายแดนทั่วๆ ไป ยังไม่สามารถต่อเชื่อมกับฐานข้อมูลส่วนกลางได้แบบเรียลไทม์นั้น ทั้งหมดที่มือปฏิบัติการจำเป็นต้องมีเพื่อจะ “อำพรางตัว” ก็แค่บัตรประจำตัวปลอมที่ติดภาพถ่ายใบหนึ่งเท่านั้น ดาร์บีเล่า

แต่พอมาถึงยุคใหม่ในทุกวันนี้ นักปลอมตัวทั้งปวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมือปฏิบัติการที่ต้องปกปิดอำพรางอย่างแน่นหนา จำเป็นที่จะต้องมีสิ่งที่เรียกกันว่า “ตำนาน” เบื้องหลังอัตลักษณ์ตัวตนปลอมที่นำมาใช้ ซึ่งต้องสอดคล้องกับอัตลักษณ์นั้นๆ อย่างชนิดที่ไร้รอยสะดุดใดๆ แบบว่าลำพังมีแค่ชื่อปลอมๆ ขึ้นมาเพียงชื่อเดียวนั้น ไม่เพียงพออีกต่อไปแล้ว

ดาร์บีเรียกการสร้างตำนานเรื่องราวของอัตลักษณ์ปลอมว่า “due diligence” (การตรวจสอบวิเคราะห์สถานะ) โดยที่ว่าทั้งเรื่องสถานที่เกิดและที่อยู่ของตัวตนปลอมจะต้องมีการวิจัยศึกษากันอย่างรอบคอบ รวมทั้งยังต้องสร้างชีวิตทางอีเมลปลอม และบัญชีโซเชียลมีเดียปลอม ขึ้นมาด้วย ไม่เพียงเท่านั้น อัตลักษณ์ตัวตนปลอมเหล่านี้ยังจำเป็นต้องมีการติดต่อกับ "เพื่อนๆ” ด้วย

หน่วยงานที่มีปฏิบัติการปิดลับแทบทุกหน่วย –ไม่ว่าจะเป็นทางด้านการปฏิบัติการพิเศษ, การรวบรวมข่าวกรอง, หรือไซเบอร์— ต่างต้องมีการจัดตั้งแผนกโปรแกรม Signature Reduction ขึ้นมา ส่วนใหญ่ดำเนินการโดยพวกผู้รับจ้างรับเหมารายเล็กๆ ซึ่งจะต้องคอยทำ "การตรวจสอบวิเคราะห์สถานะ” โดยที่พวกเขาต้องยึดมั่นปฏิบัติตามสิ่งที่ดาร์บีเรียกว่า หลักการ 6 ประการของโปรแกรม Signature Reduction ซึ่งได้แก่ ความน่าเชื่อถือ ความสอดคล้องต้องกัน ความสมจริง ความสามารถในการสนับสนุน การตรวจสอบยืนยันได, และการปฏิบัติตามกติกาที่พ่วงมากับตัวตนปลอม

ดาร์บีบอกว่า เรื่อง “การปฏิบัติตามกติกาที่พ่วงมากับตัวตนปลอม” ถือเป็นเรื่องใหญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกยุคหลังเหตุการณ์วินาศกรรม 9/11 ซึ่งทำให้มีการตั้งจุดตรวจต่างๆ จนกลายเป็นของที่สามารถพบเห็นกันทั่วไป และพวกกิจกรรมมุ่งร้ายทั้งหลายก็จะถูกติดตามตรวจตรากันอย่างใกล้ชิดมากขึ้น ดังนั้น การที่ต้องคอยรักษาตัวตนอำพรางของสายลับเอาไว้ให้ดูเหมือนเป็นอัตลักษณ์จริง โดยต้องทำกันอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงของแต่ละปฏิบัติการลับ นั้น เป็นอะไรที่กินเวลา เพราะสิ่งที่ต้องกระทำกันไม่ใช่มีเพียงแค่การดูแลอัตลักษณ์ที่ใช้ในการปฏิบัติงานของสายลับ แต่ยังต้องคอยรักษาชีวิตจริงๆ ที่บ้านของพวกเขาอีกด้วย

ดาร์บีอธิบายว่า เรื่องนี้มี รายละเอียดซึ่งห้ามพลาดอยู่เยอะเลย คือ นอกจากจะต้องคอยชำระใบเรียกเก็บเงินอย่างลับๆ แล้ว ยังต้องทำงานกับพวกฝ่ายความมั่นคงปลอดภัยในธนาคารและบริษัทบัตรเครดิตต่างๆ โดยประสานงานตกลงกันไว้ว่า เมื่อพวกเขาเข้ามาตรวจสอบค้นหามิจฉาชีพที่ใช้ตัวตนปลอมหรือมีพฤติการณ์ฟอกเงิน และมาเจอกรณีของสายลับรัฐบาล ก็ขอให้ทำเป็นว่าไม่รู้ไม่เห็น ในการนี้ นักเทคนิคทางด้าน Signature Reduction ต้องให้แน่ใจว่า มีการดูแลรักษาคะแนนบัตรเครดิตจริงๆ เอาไว้ และแม้กระทั่งในเรื่องของการจ่ายภาษีเงินได้จริงๆ และการชำระเงินค่าประกันสังคมจริงๆ ก็ต้องคอยปรับตัวเลขให้ตรงกับช่วงเวลา เพื่อที่ว่าเมื่อสายลับเสร็จภารกิจแล้วและการปลอมตัวจบลงแล้ว ก็จะสามารถกลับมาสู่ชีวิตเงียบๆ ตามปกติได้

เอาชนะเทคโนโลยี ‘ชีวมิติ’ สุดล้ำได้ โดย CIA และ NSA จัดให้

นิวสวีคเปิดเผยว่า โปรแกรมหลอกระบบตรวจสอบ ด้วยวิธีพิเศษ (SAPs) ได้การสนับสนุนจากหน่วยงานภายนอก โดยมีองค์กรอื่นหลายเจ้า เข้าไปรับหน้าที่ออกแบบและผลิตเครื่องมืออุปกรณ์หลอกตาเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร รวมทั้งสร้างเครื่องมือ“เอาชนะอุปกรณ์ชีวมิติ” จนกระทั่งกองกำลังปฏิบัติการลับทั้งปวงของ Signature Reduction สามารถเดินทางเข้า-ออกประเทศต่างๆ เพื่อดำเนินภารกิจให้ลุล่วง

ทั้งนี้ SAPs ทำหน้าที่ปกป้องรักษาความลับเกี่ยวกับวิธีการที่ใช้ควบคุมบงการระบบความปลอดภัยของประเทศอื่น แล้วเข้าไปแก้ไขฐานข้อมูล ซึ่งทำให้สายลับและมือปฏิบัติการสามารถผ่านเครื่องมือตรวจจับของด่านตรวจได้ ไม่ว่าจะในส่วนของเครื่องอ่านลายนิ้วมือ หรืออุปกรณ์จดจำใบหน้า

นิวสวีคชี้ประเด็นว่าในโลกของเราทุกวันนี้ ทุกสิ่งอย่างเป็นอิเล็กทรอนิกส์ไปหมด ทุกสิ่งอย่างถูกบันทึกเพื่อตรวจสอบข้อมูล คุณไม่สามารถผ่านเข้าที่จอดรถได้เลยถ้าป้ายทะเบียนรถไม่ถูกบันทึกเอาไว้ คุณไม่สามารถจะเช็กอินขึ้นเครื่องบินหรือเข้าพักโรงแรมได้เลยหากปราศจากบัตรประจำตัวที่ออกโดยรัฐบาล คุณไม่สามารถใช้บัตรเครดิตโดยไม่ถูกระบุว่ารูดบัตรอยู่ที่ไหน

แล้วอย่างนี้ คุณจะเอาชนะเจ้าอุปกรณ์ตรวจจับโดยใช้ชีวมิติ ได้ยังไง? คุณจะทำยังไงถึงจะผ่านเครื่องอ่านลายนิ้วมือไปได้? สกู้ปข่าวของนิวส์วีคมีคำตอบ

คำตอบก็คือในปฏิบัติการจริงพบว่า 99% เป็นกรณีที่สายลับอเมริกันไม่มีความจำเป็นต้องผ่านเครื่องมือเหล่านี้กันเลย ทหารในโปรแกรม Signature Reduction ส่วนใหญ่เดินทางกันไปโดยใช้ชื่อจริง แล้วทำการเปลี่ยนเป็นอัตลักษณ์ปลอมเมื่ออยู่ในพื้นที่ปฏิบัติการ  หรือไม่อย่างนั้น ผู้กล้าเหล่านี้ก็อาจใช้วิธีแทรกซึมข้ามชายแดนโดยผ่านปากีสถาน หรือ เยเมน เพื่อเข้าพื้นที่เป้าหมาย

แต่สำหรับอีก 1% ที่ไม่สามารถใช้วิธีข้างต้น จะมีระบบเอาชนะอุปกรณ์ชีวมิติอยู่หลายระบบให้เลือกใช้ ทั้งนี้ จารชนที่จะต้องผ่านด่านตรวจหนังสือเดินทางโดยใช้ตัวตนปลอม เขาอาจเลือกใช้ระบบกายภาพ เช่น สวมมือปลอมพร้อมลายนิ้วมือปลอมเพื่อหลอกตาเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร หรืออาจเลือกใช้บริการของระบบอิเล็กทรอนิกส์เอาชนะอุปกรณ์ชีวมิติก็ได้ โดยจะมีโปรแกรมตัวหนึ่งถูกใช้ในภารกิจนี้

โปรแกรมดังกล่าวเคยถูกกล่าวพาดพิงเอาไว้อย่างอ้อมๆ ในเอกสารที่แทบไม่มีใครสังเกตเห็น ชื่อว่า “ห้องนิรภัยหมายเลข 7” (Vault 7) ซึ่งเผยแพร่โดย “วิกิลีกส์” เมื่อต้นปี 2017 มันเป็นเอกสารเกี่ยวกับเครื่องมือลับของซีไอเอจำนวนมากกว่า 8,000 ชิ้น ที่ใช้กันในโลกปิดลับแห่งการทำจารกรรมและการแฮ็กด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์

ซีไอเอเรียกโปรแกรมตัวนี้ว่า “เอกซ์เพรสเลน” (ExpressLane) โดยจะนำเอามัลแวร์ฝังเข้าไปในระบบชีวมิติและระบบบัญชีรายชื่อบุคคลผู้ที่ต้องเฝ้าระวังที่ประเทศเป้าหมายพัฒนาขึ้นมา เมื่อใช้โปรแกรมตัวนี้สายลับไซเบอร์ชาวอเมริกันจะทำการโจรกรรมและแก้ไขฐานข้อมูลของชาติศัตรูได้สำเร็จ ด้วยการ “ปรับปรุง” ฐานข้อมูลของส่วนงานตรวจคนเข้าเมืองของประเทศเป้าหมาย เพื่อทำให้ข้อมูลปลอมของสายลับปรากฏอยู่ในฐานข้อมูล เมื่อเจ้าหน้าที่ทำการตรวจสอบ ข้อมูลเก๊บนพาสปอร์ตปลอมก็จับคู่ตรงเป๊ะกับข้อมูลในระบบ!!

พ่อมดไอทีผู้หนึ่งซึ่งทำงานให้แก่วิกิลีกส์ในกรุงเบอร์ลินบอกว่า เอกซ์เพรสเลน เป็นประมาณว่าการที่สหรัฐฯ สามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในฐานข้อมูลชีวมิติและบัญชีรายชื่อบุคคลผู้ที่ต้องเฝ้าระวังฯ

“ลองนึกภาพอย่างนี้นะ มีใครสักคนต้องผ่านด่านตรวจหนังสือเดินทาง” พ่อมดไอทีผู้นี้เล่า โดยไม่ยอมเปิดเผยชื่อจริง เพราะเกรงจะถูกฟ้องร้องดำเนินคดีในสหรัฐฯ “สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ (เอ็นเอสเอ) หรือไม่ก็ซีไอเอ จะรับหน้าที่กระทำความผิดให้ คือ เข้าไป “เปลี่ยนแปลงแก้ไข” ข้อมูล ณ วันที่บุคคลซึ่งใช้ข้อมูลปลอมต้องเดินผ่านด่านตรวจ หลังจากนั้น เมื่อผ่านเข้าประเทศเป้าหมายเรียบร้อยแล้ว ก็สวิตช์มันกลับมาเหมือนเดิม การทำเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องที่จะเป็นไปไม่ได้”

ภารกิจปกปิดอัตลักษณ์แท้จริงเพื่อปลอมตัวเข้าไปดำเนินปฏิบัติการลับเหล่านี้ เป็นอะไรที่อ่อนไหวระดับสูงที่สุด มันเป็นภารกิจที่อ่อนไหวอย่างยิ่งกระทั่งว่าฝ่ายปฏิบัติการจะต้องได้รับการอนุมัติเป็นรายบุคคลจากรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมกันเลยทีเดียว

ภาพยนตร์สายลับอลเวงเรื่อง “Get Smart” นำแสดงโดยสตีฟ คาเรลล์ และแอน แฮทธาเวย์ ภาพยนตร์ปี 2008 เข้าฉายในเมืองไทยในชื่อเรื่อง “พยัคฆ์ฉลาด เก็กไม่เลิก” ในภาพนี้ของรอยเตอร์ สตีฟและแอนตั้งท่าสนุกๆ ให้ถ่ายรูปในวันเปิดตัวฉายรอบพรีเมียร์ 30 พฤษภาคม 2008 ที่ลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา
เป็นสายลับเบ๊อะบัง ดั่ง “มิสเตอร์เก็ตสมาร์ท” หรืออย่างไร

ย้อนอดีตไปในเดือนพฤษภาคม ปี 2013 เคยเกิดเหตุการณ์สายลับอเมริกันโป๊ะแตกในประเทศรัสเซีย โดยมีภาพออกมาในแนวเบ๊อะบ๊ะเสมือนหลุดออกจากหนังตลกขบขันล้อเลียนสายลับ เรื่อง “Get Smart” (เข้าฉายในเมืองไทย ในชื่อเรื่องว่า พยัคฆ์ฉลาด เก็กไม่เลิก) และลงเอยโดยการที่รัสเซียออกคำสั่งให้ “เลขานุการตรี” ของสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำมอสโกนายหนึ่ง ซึ่งใช้ชื่อว่า ไรอัน ฟอเกิล (Ryan Fogle) ออกนอกประเทศไปในฐานะบุคคลไม่พึงปรารถนา

ผู้ที่ชมคลิปข่าวของสื่อรัสเซียจะได้เห็นฟอเกิลสวมวิกผมสีบลอนด์ที่ไม่เข้ากับใบหน้าเอาเลย และข้าวของประหลาดหลายชิ้นที่ดูว่าเป็นสมบัติส่วนตัวของมือสมัครเล่น ได้แก่ แว่นตากันแดด 4 อัน แผนที่ถนน เข็มทิศ ไฟฉาย ชุดมีดพับสวิส และโทรศัพท์มือถือเฉิ่มสนิท ซึ่งสื่อรัสเซียเจ้าหนึ่งพรรณนาว่า มันเก่ามาก จนดูเหมือนกับว่ามัน“อยู่บนโลกนี้มาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งทศวรรษ”

สารพัดสื่อมวลชนระหว่างประเทศพากันเล่นกับข่าวนี้อย่างครึกครื้น ขณะที่ประดาคนของซีไอเอที่เกษียณไปแล้วมากมายพากันวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงว่าทักษะฝีมือของงานอาชีพสายลับ ทำไมถึงตกต่ำไปได้ถึงขนาดนี้ การแสดงความคิดเห็นที่ออกมาแทบทั้งหมดพูดไปในทิศทางว่าพวกเรานั้นได้พัฒนาไกลมากแล้วจากโลกสายลับเก่าๆ ที่พึ่งพาอาศัยวิกผมและก้อนหินปลอม (อันนี้เป็นการพาดพิงถึงกรณีที่สหราชอาณาจักรเคยออกมายอมรับ เมื่อราว 1 ปีก่อนหน้านั้นว่า พวกเขานี่แหละเป็นเจ้าของก้อนหินปลอมก้อนหนึ่งซึ่งติดตั้งอุปกรณ์สื่อสารไว้ข้างใน โดยเจ้าก้อนหินปลอมนี้ก็เป็นอีกหนึ่งผลงานการค้นพบของฝ่ายข่าวกรองรัสเซียในกรุงมอสโก)

ไรอัน ฟอเกิล เลขานุการตรีฝ่ายการเมืองประจำสถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงมอสโก ผู้ต้องหาว่าเป็นสายลับบ่อนทำลายความมั่นคง และถูกรัสเซียจับตัวได้คาหนังคาเขา ขณะพยายามสร้างเครือข่ายสายลับ ในภาพนี้ ฟอเกิลถูกนำตัวไปสอบสวนและเผยแพร่ภาพข่าวไปทั่วประเทศ เมื่อ 14 พฤษภาคม 2013  โดยซีเอ็นเอ็นนำมาใช้ออกอากาศครึกโครมไปทั่วโลก
อีก 6 ปีต่อมา มีกรณีการทำจารกรรมอีกกรณีหนึ่งซึ่งกลายเป็นข่าวพาดหัวเช่นกัน คราวนี้เป็นเรื่องราวที่คณะลูกขุนของศาลในสหรัฐฯ ตัดสินว่า เควิน แพทริก มัลลอรี หนุ่มมะกันอดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรองทหาร มีความผิดต้องรับโทษจำคุก 20 ปี ฐานสมรู้ร่วมคิดในการขายความลับต่างๆ ให้แก่จีน

เรื่องของมัลลอรีไม่ได้มีอะไรโดดเด่นน่าตื่นเต้นเป็นพิเศษอันใด จนกระทั่งว่าฝ่ายอัยการออกมานำเสนอคอลเลคชั่นวิกผมและหนวดปลอมที่ดูคล้ายกับเครื่องแต่งตัวไปเที่ยวงานฮัลโลวีน เพื่อให้คณะลูกขุนพิจารณารับเอาไว้เป็นหลักฐานประกอบการตัดสินคดี สื่อมวลชนจึงได้มุกไปทำข่าวเฮฮา ว่ามัลลอรีเป็นสายลับเบ๊อะบ๊ะไม่ได้เรื่อง

กระนั้นก็ตาม เบรนดา คอนโนลลี (แน่นอน.. นี่ไม่ใช่ชื่อจริงของเธอ) กล่าวเตือนว่า ใครก็ตามที่หัวเราะเยาะเย้ยด้วยเสียงดังเกินไป ระวังให้ดีเถอะจะกลายเป็นคนไร้เดียวสา เพราะทั้ง 2 กรณีนี้เป็นโอกาสอันดีมาก ที่ท่านผู้ชมจะได้แอบสอดส่องลูกเล่นใหม่ๆ ของแวดวงสายลับ ตลอดจนวิธีการปกปิดอำพรางชั้นยอดเพื่อซุกซ่อนไม่ให้มองเห็นทีเด็ดแท้จริงกันง่ายๆ

คอนโนลลีนั้นเริ่มต้นอาชีพด้านวิศวกรรมของเธอที่ฝ่ายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของซีไอเอ  และในปัจจุบัน เธอทำงานกับบริษัทผู้รับเหมางานด้านกลาโหมรายหนึ่ง ซึ่งทำหน้าที่ผลิตอุปกรณ์แกดเก็จแปลกๆ ใหม่ๆ (เธอบอกว่า ให้ลองนึกถึง “Q” ในหนังชุดเจมส์บอนด์) เพื่อใช้ในปฏิบัติการลับทั้งปวง

เห็นเบ๊อะๆ เหมือนไร้พิษสง ที่แท้ซุกอุปกรณ์สื่อสารลับประเภทสุดยอดไฮเทค

เจ้าโทรศัพท์มือถือโนเกีย “โบร่ำโบราณ” เครื่องที่ ไรอัน ฟอเกิล พกพาอยู่นั้น เธอบอกว่า จริงๆ แล้ว มันไม่ใช่อะไรอย่างนั้นหรอก รูปลักษณ์ข้างนอกที่ดูไม่มีอันตรายอะไรนี้กำลังซุกซ่อนสิ่งที่เธอเรียกว่าอุปกรณ์ “สื่อสารแบบปิดลับ” ที่อยู่ข้างใน

นี่มันอุปกรณ์สปายอเมริกันที่ซับซ้อนด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง หรือพร็อพฮาๆ ในฉากหนังสายลับอลเวงเรื่อง “เก็ทสมาร์ท - พยัคฆ์ฉลาด เก็กไม่เลิก” กันแน่!!  ภาพวัตถุของกลาง (วิกผม โทรศัพท์มือถือรุ่นโบราณ แผนที่ ฯลฯ) ที่ฝ่ายความมั่นคงรัสเซียยึดจากไรอัน ฟอเกิล เลขานุการตรีฝ่ายการเมืองประจำสถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงมอสโก และมีการนำแสดงในข่าวเมื่อ 14 พฤษภาคม 2013  โดยซีเอ็นเอ็นนำมาใช้ออกอากาศครึกโครมไปทั่วโลก
ในทำนองเดียวกัน หลักฐานสำคัญในคดีมัลลอรี คือโทรศัพท์ซัมซุงเครื่องหนึ่งที่หน่วยข่าวกรองจีนมอบให้เขา ปรากฏว่ามันถูกผลิตมาอย่างซับซ้อนเหนือชั้นกระทั่งว่าเมื่อ เอฟบีไอ ทดลอง “โคลน” มันขึ้นมาในเชิงอิเล็กทรอนิกส์ พวกเขาไม่สามารถค้นพบชิ้นส่วนที่ซุกไว้ด้านในซึ่งเป็นตัวเก็บความลับต่างๆ และลงท้ายต้องเป็นมัลลอรีเองนั่นแหละที่เฉลยให้แก่เอฟบีไอ

คอนโนลลีชี้ว่า ในการต่อกรกันระหว่างสายลับกับสายลับของทั้งสองกรณีนี้ ส่วนที่ถูกมองข้ามคือเครื่องมือเพื่อการปลอมตัวยุคใหม่ ฟอเกิลพกพาอุปกรณ์รูปร่างเหมือนถุงเล็กๆ ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวสกัดกั้นระบบตรวจหาอัตลักษณ์เป้าหมายด้วยคลื่นวิทยุ (radio frequency identification blocking pouch) หรือที่เรียกกันว่า โล่ RFID มันเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ป้องกันไม่ให้ถูกติดตาม ส่วนมัลลอรีนั้น มีขวดน้ำยาขวดเล็กๆ จำนวนหนึ่ง ภายในบรรจุไว้ด้วยเลือดปลอมที่ทางฝ่ายจีนจัดหามาให้ ทั้งนี้ คอนโนลลีไม่ยอมเปิดเผยว่าขวดน้ำยาเหล่านี้เตรียมเอาไว้ใช้ทำอะไร

คอนโนลลีก็เหมือนคนจำนวนมากในโลกลี้ลับนี้ นั่นคือเธอมีความรู้มหาศาลเกี่ยวกับวงการสายลับและจารชน ในแบบฉบับที่ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปวัตถุและภัณฑารักษ์ต้องมีกัน  เธอสามารถพูดให้ฟังได้เป็นชั่วโมงๆ เกี่ยวกับสถานีวิทยุกระจายเสียงที่เคยเผยแพร่ออกอากาศมาจากสหภาพโซเวียต (แต่ก็มีที่ส่งสัญญาณจากเมืองวอร์เรนตัน รัฐเวอร์จิเนีย เช่นกัน) มันเป็นเสียงผู้หญิงที่คอยอ่านตัวเลขต่างๆ ซึ่งเหมือนกับอ่านสุ่มๆ เอาโดยไร้ระบบระเบียบ ตลอดจนอ่านข้อความเป็นตอนๆ จากหนังสือโน่นบ้างนี่บ้าง แล้วพวกสายลับที่กระจายอยู่ตามที่ต่างๆ ทั่วโลกจะคอยหยิบวิทยุคลื่นสั้นของพวกเขาขึ้นมารับฟัง และเทียบกับรหัสต่างๆที่จัดเตรียมเอาไว้

แต่แล้วความแพร่หลายของพวกอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ และการติดต่อสื่อสารออนไลน์อย่างลับๆ ได้กลายเป็นช่องทางเลือกสำหรับการสื่อสารแบบปิดลับขึ้นมา ส่วนใหญ่จะเข้าไปแทนที่พวกวิทยุคลื่นสั้น จวบจนกระทั่งเมื่อเทคโนโลยีตรวจการณ์สอดแนมทั้งหลาย (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่ประเทศเผด็จการ) ไล่ตามมาทัน และมีความสามารถสูงล้ำ ชนิดที่ว่าไม่เพียงแค่ดักจับกิจกรรมทางอินเทอร์เน็ตเท่านั้น แต่กระทั่งสามารถดักจับและถอดเสียงออกมาได้ว่าการกดแป้นพิมพ์บนคีย์บอร์ดที่อยู่ห่างไกลออกไปนั้น เป็นการพิมพ์ข้อความอะไรออกมา

สภาพการณ์ดังกล่าวนี้นำไปสู่โลกแห่งการสื่อสารแบบปิดลับ (covert communications หรือ COVCOMM) ในปัจจุบัน โดยที่ว่าการสื่อสารที่พวกคนวงในชอบเรียกกันว่า COVCOMM นี้ มีการใช้พวกอุปกรณ์สำหรับเข้ารหัสแบบพิเศษมากๆ ซึ่งเราสามารถเห็นได้จากคดีของ ฟอเกิล และ มัลลอรี แต่ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีเครื่องส่งและเครื่องรับแบบต่างๆ หลายหลากหลายสิบแบบอีกด้วย โดยจะถูกซุกซ่อนอยู่ในวัตถุต่างๆ ซึ่งพบเห็นกันตามปกติในชีวิตประจำวัน อย่างเช่น ก้อนหินปลอม

ในการนี้ สายลับและมือปฏิบัติการแต่ละคนจะต้องเปิดการสื่อสารระบบ COVCOMMs ซึ่งในบางกรณีสามารถทำกันได้ง่ายๆ คือ เพียงแค่เดินไปใกล้ๆ เครื่องรับที่เป็นเป้าหมาย (อาจจะเป็นอาคารสักแห่งหนึ่ง หรือก้อนหินปลอมๆ ก้อนหนึ่ง) แล้วข้อความข่าวสารปิดลับก็จะถูกเข้ารหัสและส่งต่อกลับไปยังศูนย์เฝ้าติดตามพิเศษแห่งต่างๆ

“แล้วคุณคิดว่าใครกันล่ะที่เป็นคนแอบนำเอาเครื่องมืออุปกรณ์พวกนี้มาวางเอาไว้ตรงตำแหน่งที่กำหนด?” คอนโนลลี ตั้งปุจฉา “ก็พวกคนของกองทัพ คนของหน่วยปฏิบัติการพิเศษ ที่กำลังทำงานเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติการที่เป็นความลับยิ่งเสียกว่าภารกิจของพวกเขาเองนั่นแหละ”


คอนโนลลียังเล่าถึงสิ่งของเครื่องใช้สำหรับสายลับที่เจ๋งๆ อีกหลายอย่าง เช่น

-ผืนผ้ากันความร้อนซึ่งทำให้เครื่องตรวจจับที่ใช้คลื่นความร้อนมองไม่เห็นการเคลื่อนไหวชองทหารที่อำพรางตัวอยู่ภายใต้ผืนผ้าเหล่านี้

-รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่สามารถปฏิบัติการได้อย่างเงียบกริบในพื้นที่ทุรกันดารที่สุด

-การร้อยเส้นลวดความยาวเป็นหลายเมตรซุกซ่อนในเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย “พื้นเมือง” อันได้แก่ชุด ชัลวาร์ คามีซ (shalwar kameez) ซึ่งนิยมใส่กันในเอเชียใต้  พวกทหารที่ใส่ชุดเช่นนี้จะกลายเครื่องรับสัญญาณเดินได้ สามารถที่จะดักจับสัญญาณวิทยุกำลังต่ำๆ ซึ่งอยู่ใกล้เคียง และกระทั่งสัญญาณโทรศัพท์มือถือด้วย

เจ้าชายวิลเลียมแห่งราชวงศ์อังกฤษฉลององค์ชุดเชอร์วานิ (Sherwani) ในคราวเสด็จเยือนปากีสถาน ปี 2019 ชุดเชอร์วานิเป็นชุดแต่งกายของบุรุษในวัฒนธรรมเอเชียใต้ ที่นักพัฒนาอุปกรณ์สายลับเอามาสร้างเป็นเครื่องรับสัญญาณวิทยุ
มือปลอม - หน้าปลอม: แกดเก็จเลิศล้ำของสปายสายลับ บริษัทเอกชนผลิตให้

แหล่งข่าวอีกรายหนึ่งของนิวสวีคเล่าถึงอีกบริษัทแห่งหนึ่งในพื้นที่ชนบทเล็กๆ ของรัฐนอร์ทแคโรไลนา บริษัทนี้เป็นเลิศอยู่ในอุตสาหกรรมสนับสนุนการปลอมตัว ภายในตึกฝึกอบรมและจัดเวิร์กช็อปของบริษัท จะมีการสอนนักปฏิบัติการทั้งหลายให้รู้วิธีสร้างอุปกรณ์ดักฟังแบบอำพรางตัวอยู่ในวัตถุเครื่องใช้ที่คุ้นตากันในชีวิตประจำวัน พวกเขามีศักยภาพก้าวหน้าเหนือชั้นกว่าใครๆ โดยเป็นคลังแห่งการสร้างแม่พิมพ์และการหล่อ การพิมพ์เทคนิคพิเศษ ตลอดจนการพัฒนาสุดยอดเทคนิคการตกแต่งให้ดูเป็นคนแก่ได้เหมือนจริง

บริษัทที่ดูเงียบๆ แห่งนี้ สามารถแปลงโฉมวัตถุใดๆ ก็ได้ทั้งนั้น รวมทั้งแปลงโฉมคนได้อย่างมหัศจรรย์ดั่งที่ทำกันอยู่ในหนังฮอลลีวูด กระบวนการเริ่มจากการใช้ “อุปกรณ์สร้างใบหน้าทำจากซิลิคอน” มาปั้นมาแต่งจนทำให้เปลี่ยนแปลงหน้าตาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งนี้ ในสัญญาจ้างลับเฉพาะฉบับหนึ่งมีการระบุไว้ขนาดนี้เลยว่า จะทำให้ดูแก่เฒ่า ดูเป็นผู้หญิงดูเป็นผู้ชาย และ“เพิ่มมวลกาย” ก็ได้ทั้งนั้น

ใช่แต่เท่านั้น อัจฉริยะเจ้านี้ยังสามารถเปลี่ยนลายนิ้วมือ โดยสร้างนิ้วปลอมขึ้นมาในลักษณะของปลอกหุ้มนิ้วทำจากซิลิคอน แล้วนำมาสวมติดเข้ากับมือคนได้อย่างสบายแนบเนียนจนกระทั่งไม่สามารถตรวจจับได้ ปลอกหุ้มนิ้วนี้มีลายนิ้วมือประดิษฐ์ติดไว้ให้เครื่องอ่านลายนิ้วมือได้เห็นอย่างครบครัน แถมยังมีกระทั่งความชุ่มชื้นของน้ำมันซึ่งเป็นสิ่งที่พบเห็นอยู่ในผิวหนังมนุษย์จริงๆ

เมื่อถูกถามว่าอุปกรณ์นี้ใช้ได้ผลหรือ แหล่งข่าวรายหนึ่งซึ่งเพิ่งผ่านการฝึกอบรมคอร์สนี้ หัวเราะพร้อมกับพูดว่า “ถ้าหากบอกคุณ ก็ต้องฆ่าคุณด้วย”

หน้าปลอม ทำด้วยซิลิโคนแบบที่ดูไม่ออกเลยว่าใบหน้านี้มิใช่หนังหน้าจริงของมนุษย์ ผลงานด้านหุ่นยนต์ของบริษัทแฮนซัน โรโบติกส์ ที่พัฒนาไว้นานแล้ว ตั้งแต่ปี 2015 และนำออกโชว์ในมหกรรม Global Sources Exhibition ที่ฮ่องกง
สหรัฐฯ ก็โดนศัตรูเล่นงานผ่านการจารกรรมข้อมูลส่วนตัว

ในชีวิตจริงสมัยนี้ อาชญากรรมขโมยข้อมูลประจำตัว (ส่วนใหญ่มุ่งให้ได้มาซึ่งเงิน) เป็นโรคร้ายที่แพร่ระบาดสร้างความเดือดร้อนแก่ผู้คนมากมาย แต่สำหรับพวกที่อยู่ในโลกข่าวกรองและการต่อต้านการก่อการร้ายแล้ว จะโดนฝ่ายศัตรูมาขโมยข้อมูลส่วนตัวเพื่อนำไปเล่นงานแบบมุ่งร้ายหมายเอาชีวิต

เมื่อปี 2015 กลุ่ม “รัฐอิสลาม” ได้โพสต์ทั้งชื่อ ภาพถ่าย และที่อยู่ ของบุคลากรฝ่ายทหารสหรัฐฯจำนวนกว่า 1,300 ราย พร้อมกับสั่งให้บรรดาสาวกพุ่งเป้าเล่นงานและเข่มฆ่าบุคคลที่ถูกระบุตัวตนเหล่านี้ เอฟบีไอแถลงว่า หลังการคุกคามครั้งนี้ ยังติดตามมาด้วยการที่มีกลุ่มบุคคลซึ่งสงสัยกันว่าเป็นพวกแฮกเกอร์ชาวรัสเซียแต่แกล้งทำเป็นสมาชิกของกลุ่มรัฐอิสลาม ทำการข่มขู่คุกคามบรรดาครอบครัวของทหารผ่านทางเฟซบุ๊ก

“เรารู้ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับตัวแก ผัวของแก และลูกๆ ของแก” นี่เป็นหนึ่งในข้อความคุกคามมุ่งร้ายที่โพสต์ขึ้นไป

ด้านเจ้าหน้าที่ต่อต้านข่าวกรองและด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของการปฏิบัติการ (OPSEC) ต้องใช้ความพยายามกันเป็นขนานใหญ่เพื่อต่อสู้กับเรื่องนี้ โดยไม่เพียงแจ้งให้ผู้ที่ได้รับความกระทบกระเทือนรับทราบเท่านั้น แต่ยังเตือนบุคลากรฝ่ายทหารและครอบครัว ให้ป้องกันข้อมูลข่าวสารส่วนตัวทางโซเชียลมีเดียให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่


ในปีรุ่งขึ้น ปรากฏว่ากลุ่มรัฐอิสลามได้เผยแพร่ชื่อบุคคลเป้าหมายจำนวนถึง 8,313 ชื่อ แล้วก็เร่งขยายจำนวนชื่อมากขึ้นเรื่อยๆ โดยขึ้นถึงระดับสูงสุดคือ 8,785 ชื่อในปี 2017

แองเจลา ริคเกตส์ ภรรยาของทหารอเมริกัน นำข้อความที่ถูกข่มขู่คุกคามจากกลุ่มที่อ้างว่าเป็นกลุ่ม ISIS บนหน้าจอคอมพิวเตอร์แล็ปท็อป ให้ช่างภาพเอพีถ่ายรูป เมื่อเดือนพฤษภาคม 2018
มีการเปิดเผยว่า บุคลากรฝ่ายทหารไปแชร์ข้อมูลข่าวสารด้านสถานที่ไว้ในเครื่องออกกำลังกายฟิตเนส กลับกลายเป็นการเปิดเผยสถานที่ตั้งของปฏิบัติการอ่อนไหวทั้งปวง ทั้งที่พวกเขาเพียงแค่ไปจ็อกกิ้งในโรงยิมและแชร์ข้อมูลของพวกเขาเท่านั้น

“การพัฒนาอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีสารสนเทศใหม่ๆ และมีนวัตกรรมสูง ได้ช่วยเพิ่มพูนคุณภาพให้แก่ชีวิตของพวกเรา แต่มันก็สามารถสร้างอันตรายต่อความมั่นคงปลอดภัยในการปฏิบัติการและต่อการพิทักษ์ปกป้องกองกำลังทหาร” กองบัญชาการกลางแห่งทหารสหรัฐฯ ซึ่งดูแลครอบคลุมพื้นที่ทั้งตะวันออกกลางไปจรดอัฟกานิสถาน กล่าวในคำแถลงฉบับหนึ่งซึ่งส่งไปถึงสื่อมวลชนค่ายใหญ่ คือ วอชิงตันโพสต์ ในช่วงดังกล่าวที่ปัญหาระอุร้อนแรง

ถัดจากนั้นยังมีกระแสความตื่นกลัวเรื่องดีเอ็นเอขึ้นมาอีก เมื่อพล.ร.อ.จอห์น ริชาร์ดสัน ซึ่งในตอนนั้นเป็นผู้บัญชาการทหารเรือของสหรัฐฯ ออกมาเตือนบุคลากรทหารและครอบครัวของพวกเขาให้ยุติการใช้ชุดทดสอบดีเอ็นเอเพื่อสืบค้นบรรพบุรุษ ซึ่งทำเป็นชุดทดสอบเล่นกันเองที่บ้านได้

“ต้องระวังให้มากว่าคุณส่งดีเอ็นเอของคุณไปให้ใครช่วยตรวจพิสูจน์” ริชาร์ดสันบอก พร้อมกับเตือนว่าความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ทำให้คนร้ายมาแสวงประโยชน์จากข้อมูลในดีเอ็นเอ ด้วยการสร้างอาวุธชีวภาพที่เล็งเป้าหมายแบบเจาะจงได้ดีขึ้นต่อไปในอนาคตข้างหน้า

ในปี 2019 เพนตากอนได้แนะนำอย่างเป็นทางการให้บุคลากรทหารหลีกเลี่ยงบริการตรวจดีเอ็นเอที่ผู้คนเห่อเล่นกันหนักมาก “การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารด้านพันธุกรรมซึ่งเป็นเรื่องอ่อนไหว ไปให้ฝ่ายต่างๆ ที่อยู่ภายนอกได้ทราบนั้น เป็นการสร้างความเสี่ยงทั้งต่อตนเอง และต่อปฏิบัติการของคนอื่นๆ ในกองทัพ” นี่เป็นข้อความตอนหนึ่งของบันทึกภายในฉบับนั้น

ทหารแคนาดาถูกยิงเสียชีวิตที่อนุสรณ์สถานสงครามแห่งชาติในกรุงออตตาวา โดยกลุ่มคนหนุ่มซึ่งบอกว่าเป็นสาวกของกลุ่ม ISIS ในเดือนตุลาคม 2014 ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายสหรัฐฯ หวั่นว่าจะเกิดการเลียนแบบ
เตือนให้ทบทวนจริยธรรม-ความถูกต้องเหมาะสม ที่ทหารกลายเป็นสายลับ หรือนักฆ่า

พล.ร.อ. ริชาร์ดสัน ซึ่งปัจจุบันนี้ เกษียณอายุแล้ว บอกว่า “เรายังพัฒนาอยู่ในขั้นทารกภายในโลกแห่งความโปร่งใสของเรานี้”

“เราเป็นผู้ชนะในสงครามนี้ รวมทั้งทางด้านไซเบอร์ด้วย ถึงแม้ว่าการรักษาความลับเกี่ยวกับสิ่งที่เราทำอยู่ อาจทำให้พวกสื่อมวลชนไปวาดภาพซะราวกับว่าฝ่ายรัสเซียเป็นยักษ์ใหญ่แข็งแรงสูงตั้งสิบฟุตกันอีก” ท่านนายพลกล่าว

ริชาร์ดสันยอมรับว่าการประมวลผลข้อมูล “บิ๊ก ดาต้า” ในอนาคต น่าที่จะส่งผลกลายเป็นการรุกล้ำ “การปฏิบัติการปิดลับ” ของทุกฝ่ายเพิ่มมากขึ้นไปอีก แต่ก็บอกว่าผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นแก่สังคม มีน้ำหนักมากกว่าความยากลำบากที่เกิดขึ้นกับฝ่ายทหาร ซึ่งต้องทำงานหนักมากขึ้นเพื่อรักษาความมั่นคงปลอดภัยในการดำเนินปฏิบัติการต่างๆ


ริชาร์ดสันเรียกการรักษาความลับที่กระทำกันอยู่นี้ว่า เป็นเรื่องชอบธรรม แต่ก็บอกด้วยว่าฝ่ายนำของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ผิดพลาดในส่วนของการมองภาพโดยรวม เพราะจริงๆ แล้วควรต้องตั้งคำถามต่อกองทัพให้มากขึ้นทั้งทางด้านจริยธรรม ความถูกต้องเหมาะสม และแม้กระทั่งความถูกต้องตามกฎหมาย ของการที่ทหารกลายเป็นสปายสายลับ ตลอดจนนักฆ่าและมือสังหาร รวมทั้งในประเด็นว่าสภาวการณ์เช่นนี้จะส่งผลอย่างไรต่อไปในอนาคต

กระนั้น โลกแห่ง Signature Reduction ก็ยังคงเติบโตขยายตัวต่อไป โดย พล.ร.อ. ริชาร์ดสัน บอกว่า นี่เป็นหลักฐานแสดงให้เห็นว่า ชีวิตในยุคสมัยใหม่นี้ ก็ไม่ได้มีความโปร่งใสอะไรอย่างที่พวกเราส่วนใหญ่คิดหวังกันหรอก

โดย รัศมี มีเรื่องเล่า

(ที่มา: นิวสวีค เอเชียไทมส์ รอยเตอร์ เอพี เอเอฟพี)

กำลังโหลดความคิดเห็น