รัฐบาลอินโดนีเซียมีคำสั่งให้พลเมืองงดเดินทางไปประกอบพิธีฮัญจ์ที่ซาอุดีอาระเบียเป็นปีที่ 2 สืบเนื่องจากความกังวลเรื่องสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19
อินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีประชากรมุสลิมมากที่สุดในโลก โดยแต่ละปีจะมีชาวอิเหนานับแสนคนเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ที่นครเมกกะในซาอุดีอาระเบีย
สำหรับชาวมุสลิมแล้ว การไปแสวงบุญที่เมกกะถือเป็นภารกิจสำคัญที่ควรจะกระทำให้ได้อย่างน้อยสัก 1 ครั้งในชีวิต
มุสลิมในอินโดนีเซียจะต้องใช้เวลารอเฉลี่ยถึง 20 ปีกว่า จะได้โควตาไปทำฮัจญ์ ตามข้อมูลจากเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอิเหนา
“สืบเนื่องจากสถานการณ์โรคระบาด และเพื่อความปลอดภัยของผู้แสวงบุญเอง รัฐบาลจึงตัดสินใจไม่อนุญาตให้ผู้แสวงบุญชาวอินโดนีเซียเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ในปีนี้” ยากุต โชลีล กูมาส รัฐมนตรีกระทรวงกิจการศาสนาของอินโดนีเซีย ระบุในถ้อยแถลง
อย่างไรก็ดี ยากุต ยอมรับว่าซาอุดีอาระเบียก็ไม่ได้ให้โควตาผู้ประกอบพิธีฮัญจ์แก่อินโดนีเซียในปีนี้
“ไม่ใช่แค่อินโดนีเซียประเทศเดียว แต่ไม่มีประเทศไหนได้โควตาเลย เนื่องจากยังไม่มีการลงนามบันทึกความเข้าใจ” เขากล่าว
สำหรับผู้แสวงบุญที่จ่ายค่าธรรมเนียมในการทำฮัจญ์ไปแล้วจะได้เดินทางอีกทีในปีหน้า
ซาอุดีอาระเบียยกเลิกคำสั่งแบนผู้เดินทางจาก 11 ประเทศเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (29 พ.ค.) ได้แก่ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, เยอรมนี, สหรัฐฯ, ไอร์แลนด์, อิตาลี, โปรตุเกส, สหราชอาณาจักร, สวีเดน, สวิตเซอร์แลนด์, ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น ทว่ายังต้องเข้าสู่กระบวนการกักตัวตามระเบียบ
ก่อนที่โควิด-19 จะแพร่ระบาด ผู้แสวงบุญชาวมุสลิมจากทั่วโลกเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ที่นครเมกกะปีละมากกว่า 2.5 ล้านคน รวมถึงการไปแสวงบุญนอกเวลาฮัจญ์ หรือที่เรียกว่าการทำอุมเราะห์ (Umrah) ซึ่งทั้งหมดนี้สร้างรายได้ให้แก่รัฐบาลซาอุฯ ปีละประมาณ 12,000 ล้านดอลลาร์
ที่มา: รอยเตอร์