คลินิกแห่งหนึ่งในเมืองเซอร์รานาที่มีประชากรเกือบ 46,000 คนของรัฐเซาเปาลูขณะนี้มีผู้ป่วยโควิดอาการหนักเพียงคนเดียว เป็นหญิงวัย 63 ปีที่เฝ้ารอวัคซีน “ไฟเซอร์” ซึ่งหายากมากในบราซิล และไม่ยอมฉีดวัคซีนที่ผู้ใหญ่เกือบทุกคนในเมืองนี้ฉีดกัน ตามโครงการทดสอบวัคซีนที่ผลิตโดยบริษัท “ซิโนแวค”ของจีน ทั้งนี้ผลทดสอบออกมาว่าทำให้เมืองนี้กลายเป็นโอเอซิสที่ผู้คนสามารถใช้ชีวิตได้เกือบเป็นปกติ ขณะที่เมืองอื่นๆ รอบข้างยังเผชิญการระบาดหนักหนาสาหัส
พวกแพทย์ที่รักษาผู้ป่วยโควิดในเซอร์รานาเผยว่า คนไข้ซาลงมากจนพวกเขาต้องไปช่วยรักษาคนไข้โรคอื่นๆ และบางคนกลับไปกินมื้อเที่ยงที่บ้านได้แล้ว ขณะที่ผู้คนทั่วไปใช้ชีวิตปกติมากขึ้น เช่น เพื่อนบ้านพูดคุยหยอกล้อกัน ครอบครัวปาร์ตี้บาร์บีคิวช่วงสุดสัปดาห์ รวมทั้งคนจากเมืองอื่นๆ แวะเวียนไปตัดผมและกินอาหารในเมืองนี้
เรื่องราวความสำเร็จนี้ได้รับการเผยแพร่ในวันจันทร์ (31 พ.ค.) หนึ่งวันก่อนที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศอนุมัติให้ใช้วัคซีนซิโนแวคเป็นกรณีฉุกเฉินเมื่อวันอังคาร (1) ถือเป็นบริษัทจีนแห่งที่ 2 ต่อจากซิโนฟาร์ม ที่ได้ไฟเขียวจาก WHO
การทดลองในเมืองเซอร์รานาเรียกขานกันว่า “โปรเจ็กต์เอส” กินเวลา 4 เดือนโดยทำการทดสอบประสิทธิภาพของวัคซีนซิโนแวค (ซึ่งในบางที่ รวมทั่งที่บราซิลด้วย ใช้ชื่อแบรนด์ว่า “โคโรนาแวค”) ในสถานการณ์จริง แบบใช้เมืองทั้งเมืองเป็นสนามทดลองศึกษา ซึ่งถือว่าเป็นการศึกษาแบบนี้แห่งแรกของโลก
ริคาร์โด ปาลาเซียส ผู้อำนวยการสถาบันบูตันตัน ของรัฐเซาเปาลู และผู้ประสานงานการศึกษานี้ ระบุว่า ผลเบื้องต้นที่เผยแพร่เมื่อวันจันทร์ (31 พ.ค.) บ่งชี้ว่า เราสามารถควบคุมสถานการณ์การระบาดได้ ถ้าประชากร 3 ใน 4 ได้รับการฉีดวัคซีนซิโนแวคครบ 2 โดส โดยไม่จำเป็นต้องฉีดประชากรให้ครบทุกคน ทั้งนี้การศึกษานี้ยังไม่ได้ผ่านการตรวจสอบยืนยันจากนักวิชาการอื่นๆ
กระนั้น ผลการศึกษานี้ก็จุดประกายความหวังสำหรับประชาชนหลายร้อยล้านคน โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนาที่พึ่งพาวัคซีนซิโนแวคซึ่งราคาถูกกว่า และเก็บรักษาง่ายกว่า วัคซีนของอเมริกาอย่างไฟเซอร์และโมเดอร์นา
ในการทดลองนี้ ชาวเมืองเซอร์รานาถูกแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มตามพื้นที่ภูมิศาสตร์ โดยประชากรวัยผู้ใหญ่ส่วนใหญ่ได้รับการฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มเมื่อปลายเดือนเมษายน และผลที่ออกมาแสดงให้เห็นว่า สามพื้นที่ที่ประชาชนฉีดวัคซีนสามารถควบคุมการระบาดได้ อย่างไรก็ดี ยังไม่มีการเปิดเผยชัดเจนว่า ในแต่ละพื้นที่นั้นให้วัคซีนด้วยวิธีเดียวกันหรือไม่
ผลการศึกษายังพบว่า อัตราการเสียชีวิตจากโควิดในเมืองนี้ลดลง 95%, การเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลลดลง 86% และการติดเชื้อแบบแสดงอาการลดลง 80%
แม้ผู้เชี่ยวชาญหลายคน อาทิ เดนิส การ์เร็ตต์ รองประธานสถาบันวัคซีนซาบินที่สนับสนุนการเพิ่มการเข้าถึงวัคซีนทั่วโลก ยกย่องว่า การศึกษานี้ยืนยันประสิทธิภาพของวัคซีนซิโนแวค แต่ขณะเดียวกันก็ตั้งข้อสังเกตว่า คำถามหลายอย่างยังไม่ได้รับคำตอบ และจำเป็นต้องวิเคราะห์เพิ่มเติม ซึ่งรวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้วทว่าไม่มีภูมิต้านทานโควิด
สถานการณ์ในเซอร์รานาเวลานี้ แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากเมืองใกล้เคียง ตลอดจนในเมืองอื่นๆ ของบราซิล ที่ผู้ป่วยโควิดล้นโรงพยาบาล และทางการต้องออกคำสั่งล็อกดาวน์
นายแพทย์ฌัว แอนโตนิโอ มาดาลอสโซ จูเนียร์ เล่าว่า เมื่อไม่กี่เดือนก่อนเซอร์รานายังเผชิญวิกฤตโควิดรุนแรงไม่แพ้ที่อื่น แต่ปลายเดือนมกราคมเริ่มมีข่าวการทดสอบโปรเจ็กต์เอส
“สถานการณ์ของเราตอนนี้ดีกว่าที่อื่นมาก แม้วัคซีนซิโนแวครักษาโควิดไม่ได้ แต่สามารถบรรเทาความรุนแรงจนเหมือนกับไข้หวัดอ่อนๆ เท่านั้น”
อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่า เมืองนี้ปลอดโควิดโดยสิ้นเชิง เนื่องจากยังมีประชาชนบางส่วนไม่ยอมฉีดวัคซีน บางคนไม่ฉีดเข็มสองหรือติดโควิดก่อนที่วัคซีนจะมีประสิทธิภาพเต็มที่ และบางส่วนซึ่งน้อยมากมีอาการป่วยไข้อื่นๆ จึงไม่สามารถฉีดวัคซีนได้
ปีที่แล้ว ประธานาธิบดีฌาอีร์ โบลโซนารู ของบราซิล ซึ่งเป็นนักการเมืองขวาจัดที่มีนโยบายต่อต้านจีน ประกาศว่า รัฐบาลจะไม่ซื้อวัคซีนจีนและไม่ยอมให้ประชาชนเป็นหนูทดลอง และในที่สุดกระทรวงสาธารณสุขเพิ่งเซ็นสัญญาสั่งซื้อหลายสิบล้านโดสหลังจากผู้คุมกฎสาธารณสุขอนุมัติวัคซีนนี้ในเดือนมกราคม
ดิมาส โควาส ประธานบูตันตัน แถลงต่อรัฐสภาเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ถ้ารัฐบาลตัดสินใจเร็วกว่านี้ ป่านนี้บราซิลคงมีวัคซีนซิโนแวค 100 ล้านโดสแล้ว
ฌัว ดอเรีย ผู้ว่าการรัฐเซาเปาลูที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับโบลโซนารู สำทับว่า ชาวบราซิลอาจกลับไปใช้ชีวิตปกติได้มากขึ้น ถ้าโครงการวัคซีนไม่ล่าช้าแบบนี้
ลีโอ คาปิทาเนลลี นายกเทศมนตรีเซอร์รานา ขานรับว่า ประชาชนที่ติดโควิดในช่วงไม่กี่สัปดาห์นี้มีอาการเล็กน้อยเท่านั้น ก่อนอวดแผนจัดเทศกาลดนตรีที่สามารถรองรับผู้เข้าชมได้ราว 5,000 คน ซึ่งล้วนเป็นผู้ที่ฉีดวัคซีนซิโนแวคแล้ว
“โปรเจ็กต์นี้ฟื้นความมั่นใจของเรา และเป็นความหวังของการเริ่มต้นใหม่ในปีหน้า”
(ที่มา: เอพี, บีบีซี)