xs
xsm
sm
md
lg

ศึกแย่งแรงงานใน US ทำฟาสต์ฟู้ด-ห้างดึงค่าจ้างพุ่งสูง หลังลูกค้าเข้าร้านล้นหลาม เพราะภัยโควิดแผ่วไวกว่าคาด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ในซานตา มอนิกา เพียร์ รัฐแคลิฟอร์เนีย เต็มไปด้วยชาย-หญิงผู้กระหายแสงตะวัน และออกเดินขวักไขว่ตามท้องถนนเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ในบรรยากาศที่ผ่อนคลายดีขึ้น หลังจากวิกฤตโรคระบาดโควิด 19 ลดความรุนแรง ทั้งนี้ บรรดาผู้เชี่ยวชาญให้ประมาณการว่ายอดผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ในสหรัฐอเมริกา จะดิ่งฮวบลงมาในราวปลายเดือนกรกฎาคม 2021
ภัตตาคาร ฟาสต์ฟู้ด ห้างร้าน และธุรกิจบริการใหญ่น้อยในสหรัฐอเมริกา แห่กันเพิ่มค่าจ้างพรึ่บพรั่บ เพื่อดึงดูดแรงงานให้สมัครเข้าร่วมทีมบริการลูกค้าซึ่งหลั่งไหลเข้าไปจับจ่ายกินใช้เนืองแน่น หลังวิกฤตโรคระบาดโควิด-19 แผ่วลงมาก และทำให้หลากหลายรัฐยอมผ่อนคลายมาตรการคุมเข้มทั้งปวง

ทั้ง แมคโดนัลด์ (McDonald’s) ทั้งชีตซ์ (Sheetz) ทั้งชิปอตเล่ (Chipotle) และสารพัดค่ายใหญ่ค่ายดังในธุรกิจบริการล้วนแข่งกันดันอัตราค่าจ้างพนักงานขึ้นพรวดพราด โดยเจริญรอยตามวิสาหกิจเมกก้าไซส์อย่างแอมะซอน (Amazon) วอลมาร์ท (Walmart) และ คอสท์โก (Costco) ที่ได้อัปค่าจ้างทะยานสูงลิ่ว โดยบางค่ายไปถึงชั่วโมงละ 15 ดอลลาร์ (ประมาณ 470 บาทต่อชั่วโมง!!) หรือกว่านั้น เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

แมคโดนัลด์ ฟาสต์ฟู้ดค่ายยักษ์ประกาศจะเพิ่มอัตราค่าแรงให้แก่พนักงานในร้านของแมคฯ เองจำนวน 650 แห่งทั่วสหรัฐฯ ให้เป็นอัตราเฉลี่ยที่ 15 ดอลลาร์ต่อชั่วโมงภายในปี 2024 โดยพนักงานเข้าใหม่จะได้รับที่ 11 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง
แนวโน้มค่าแรงทะยานสูงแบบนี้ที่ปรากฏให้เห็นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ต้นปี 2021 เป็นผลประโยชน์โดยตรงของลูกจ้าง กระนั้นก็ตาม อัตราค่าแรงที่แพงขึ้นนักหนา ก็ยังเป็นตัวเลขขำๆ เมื่อเทียบกับอัตราค่าตอบแทนพนักงานในอุตสาหกรรมอื่น ดังปรากฏว่า ภัตตาคาร บาร์ โรงแรม และร้านค้าสารพัดประเภท ล้วนเป็นอุตสาหกรรมที่ให้อัตราค่าตอบแทนต่ำที่สุด ยิ่งกว่านั้น ตลอดปีที่ผ่านมา พนักงานจำนวนมากในอุตสาหกรรมนี้ต้องทำงานโดยเสี่ยงกับการติดเชื้อโควิด-19

หลายหลากรัฐและหลายๆ เมืองทยอยผ่อนคลายข้อบังคับที่เคยสั่งให้ภาคธุรกิจปฏิบัติเพื่อป้องกันการลุกลามของวิกฤตโรคระบาดโควิด 19 หลังจากที่ยอดผู้เสียชีวิตด้วยไวรัสโควิด 19 และผู้ติดเชื้อรายใหม่ ลดฮวบลง ทั้งนี้ ในพื้นที่อย่างฟลอริดา, เนวาดา และเทกซัส ปริมาณการเข้าใช้บริการในภัตตาคาร ร้านอาหารประเภทต่างๆ กลับไปคึกคักในระดับที่ใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดโรคระบาด หรือกระทั่งคึกคักมากยิ่งขึ้นก็มี ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์จองภัตตาคารแห่งค่าย OpenTable ให้ข้อมูลมาอย่างนั้น

ร้านชิปอตเล่ ของบริษัท ชิปอตเล่ อเมริกัน กริล (Chipotle Mexican Grill) ประกาศเมื่อ 10 พฤษภาคม 2021 ว่าบริษัทมีแผนรับพนักงานเพิ่ม 20
ลูกค้าแห่กันกลับมาใช้บริการเร็วกว่าที่จะเตรียมพนักงานรองรับได้ทัน

บริษัทมากมายให้สัมภาษณ์ว่าต้องดิ้นรนหนักเพื่อหาจ้างแรงงานเข้าไปรองรับลูกค้าที่ไหลบ่าเข้าใช้บริการหลังวิกฤตโควิด-19 ซาความรุนแรง

“ลูกค้ากลับมาเยอะมากและมาเร็วกว่าที่ฝ่ายต่างๆ คาดการณ์ไว้ ร้านอาหารทั้งหลายหาพนักงานมารองรับไม่ทันกันเลยครับ” จอช ไบเวนส์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของสถาบันนโยบายเศรษฐกิจ หรือ Economic Policy Institute (EPI) กล่าว พร้อมบอกว่า “ต้องใช้วิธีขึ้นค่าแรงล่ะครับ จึงเพิ่มพนักงานได้บ้าง”

ในเดือนเมษายน ซึ่งระดับการจ้างงานโดยรวมยังไม่กระเตื้อง ธุรกิจภัตตาคาร โรงแรม และสถานที่บันเทิงต่างๆ เริ่มรับพนักงานใหม่เข้าไปมากขึ้นกว่าที่ปรากฏในเดือนมีนาคม ซึ่งเป็นสัญญาณชี้บ่งว่าการเพิ่มค่าจ้างนั้นได้ผล

ชิปอตเล่ ประกาศอัดฉีดค่าจ้างแบบจัดหนักจัดเต็มให้แก่พนักงาน ทั้งพนักงานใหม่และพนักงานปัจจุบัน โดยจะอัปให้จาก 11 ดอลลาร์ต่อชั่วโมงในขณะนี้ เป็นอัตราสูงสุดที่ 18 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง หรือเท่ากับอัตราเฉลี่ยที่ 15 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง ภายในปลายเดือนมิถุนายน 2021 โดยประกาศไว้เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2021
ส่องตาทิพย์ ค่ายไหน ให้ค่าแรงเพิ่มเท่าไร

ฟาสต์ฟู้ดค่ายยักษ์อย่าง แมคโดนัลด์ ประกาศจะเพิ่มอัตราค่าแรงให้แก่พนักงานในร้านของแมคฯเองจำนวน 650 แห่งทั่วสหรัฐฯ ให้เป็นอัตราเฉลี่ยที่ 15 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง ภายในปี 2024 โดยพนักงานเข้าใหม่จะได้รับที่ 11 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง พร้อมนี้ แมคฯ จะส่งเสริมให้ร้านที่เป็นแฟรนไชส์จำนวนประมาณ 14,000 แห่งทั่วประเทศ สร้างความเปลี่ยนแปลงแบบเดียวกันนี้ด้วย ทั้งนี้ แมคฯ ประกาศไว้เมื่อพฤหัสบดีที่ผ่านมา (13 พฤษภาคม)

แม้อัตราค่าแรงของแมคโดนัลด์ถูกอัปให้แพงขึ้นนักหนา แต่ก็ยังเป็นตัวเลขขำๆ เมื่อเทียบกับอัตราค่าตอบแทนพนักงานในอุตสาหกรรมอื่น ทั้งนี้ ภัตตาคาร บาร์ โรงแรม และร้านค้าสารพัดประเภท ล้วนเป็นอุตสาหกรรมที่ให้อัตราค่าตอบแทนต่ำที่สุด ในภาพนี้เป็นหนึ่งในพนักงานดีเด่นของแมคโดนัลด์ เธอบอกว่าเธอสนุกกับการได้ต้อนรับดูแลลูกค้าที่เข้ามาออร์เดอร์แบบไดรฟ์ทรู
ส่วนชิปอตเล่ ร้านอาหารเม็กซิกันที่มีเมนูหลากหลายและตั้งสาขาทั่วสหรัฐฯ ประกาศก่อนแมคโดนัลด์หลายวัน ว่าจะเพิ่มค่าจ้างอย่างตั๋งๆ ให้แก่ทั้งพนักงานใหม่และพนักงานปัจจุบัน จากอัตรา 11 ดอลลาร์ต่อชั่วโมงในขณะนี้ เป็นอัตราสูงสุดที่ 18 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง หรือเท่ากับอัตราเฉลี่ยที่ 15 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง ภายในปลายเดือนมิถุนายน 2021 โดยประกาศไว้เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2021

ด้าน แอมะซอนก็ประกาศในวันเดียวกันว่าจะยกระดับอัตราค่าจ้างใหม่ขึ้นเป็น 17 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง เพราะมีแผนจะรับพนักงานใหม่เข้าร่วมทีมจำนวน 75,000 ตำแหน่ง ยิ่งกว่านั้น จอมยักษ์ออนไลน์บอกว่าจะให้โบนัส 100 ดอลลาร์แก่พนักงานใหม่ที่รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด 19 แล้ว

อาณาจักรแอมะซอนและบรรยากาศการปฏิบัติงานในคลังสินค้า
ส่วน ค่ายชีทซ์ เจ้าพ่อเครือข่ายร้านสะดวกซื้อที่มีตั้งแต่น้ำมันยันไม้จิ้มฟันและกาแฟอร่อยหอมฉุย ประกาศเมื่อวันจันทร์ (10) ว่าพนักงาน 18,000 รายของตนจะได้รับอัตราค่าแรงเพิ่มขึ้นอีก 2 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง ยิ่งกว่านั้น ตลอดเดือนฤดูร้อน พนักงานจะได้รับค่าแรงแถมวันละ 1 ชั่วโมงด้วย

แม้อัตราค่าแรงของแมคโดนัลด์ถูกอัปให้แพงขึ้นนักหนา แต่ก็ยังเป็นตัวเลขขำๆ เมื่อเทียบกับอัตราค่าตอบแทนพนักงานในอุตสาหกรรมอื่น ทั้งนี้ ภัตตาคาร บาร์ โรงแรม และร้านค้าสารพัดประเภท ล้วนเป็นอุตสาหกรรมที่ให้อัตราค่าตอบแทนต่ำที่สุด ในภาพนี้เป็นหนึ่งในพนักงานดีเด่นของแมคโดนัลด์ เธอบอกว่าเธอสนุกกับการได้ต้อนรับดูแลลูกค้าที่เข้ามาออเดอร์แบบไดรฟ์ทรู
ศึกโก่งค่าจ้างเพื่อชิงแรงงานภายในธุรกิจร้านอาหารจะดุดันในไม่กี่เดือนนี้ สาเหตุใหญ่คือเงินฟรีจากรัฐ ดีกว่าอัตราค่าแรง

เทรนด์แห่งค่าแรงไต่ระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ ชัดเจนตั้งแต่ปี 2019 ก่อนที่สหรัฐฯ จะประสบวิกฤตโรคระบาดโควิด 19 ผอ.ไบเวนส์แห่ง EPI บอกอย่างนั้น พร้อมทำนายว่าในไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ เทรนด์การปรับขึ้นอัตราค่าจ้างเพื่อดึงแรงงานเข้าร่วมทีมจะเอิกเกริกยิ่งกว่าที่เคยปรากฏในปี 2019

ทั้งนี้ สัญญาณตัวแดงเตือนรัวๆ มาจากข้อเท็จจริงว่า จำนวนตำแหน่งงานที่เปิดรับรับสมัครทั้งหมดในสหรัฐฯ ณ ปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา พุ่งแตะระดับ 8.2 ล้านตำแหน่ง กระนั้นก็ตาม ณ เดือนเมษายน ผู้ประกอบการสามารถดึงคนเข้าทำงานได้แค่ 266,000 ราย!!

สาเหตุสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้ผู้ใช้แรงงานไม่กระตือรือร้นออกจากบ้านมาสมัครงาน มีสามประการ คือ (1) หวั่นเกรงการติดเชื้อโควิด 19 (2) แรงงานสายคุณแม่จำนวนมากมีภารกิจดูแลเด็กๆ ที่ต้องเรียนหนังสือออนไลน์ ไม่ได้ไปโรงเรียน (3) เงินอัดฉีดช่วยเหลือเพิ่มเติมรายละ 300 ดอลลาร์ ที่รัฐบาลของประธานาธิบดี โจ ไบเดน มอบแก่ผู้ตกงานสืบเนื่องจากผลกระทบแห่งโรคระบาดโควิด 19 ซึ่งส่งผลให้ผู้ใช้แรงงานมีรายได้จากสวัสดิการสังคมบวกเงินอัดฉีดเพิ่มเติมแล้ว สูงกว่าที่รับจากการออกไปเป็นพนักงาน

อเมริกันชนเพลิดเพลินกับการพักผ่อนหย่อนใจว่ายน้ำทะเล หลังอดทนกับมาตรการป้องกันการระบาดของโรคโควิด 19 มายาวนาน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่แรงงานซึ่งยังชีพด้วยเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล จะไม่รีบกลับเข้าสู่ระบบการทำงาน ภาพที่เป็นบรรยากาศที่ชายหาดในฟลอริดา เมื่อเดือนเมษายน 2021
กระนั้นก็ตาม ปัจจัยเหล่านี้มิใช่จะยั่งยืน โดย แกด เลวานอน นักเศรษฐศาสตร์แรงงานแห่ง Conference Board องค์กรวิจัยเอกชนค่ายยักษ์ที่ได้รับความเชื่อถือทั่วสหรัฐฯ ได้ชี้ว่าปัญหาแรงงานขาดแคลนที่ทำให้ต้องแย่งกันดูดคนเข้าร่วมงานดั่งที่เป็นอยู่นี้ จะเป็นปรากฏการณ์ชั่วคราว ซึ่งหมายถึงว่าผู้ประกอบการไม่ต้องคอยแต่จะปรับขึ้นค่าจ้างเพื่อดึงแรงงานเข้าไปช่วยดูแลลูกค้า

“ความกลัวโควิดน่าจะลดลง สถานศึกษาทั้งปวงน่าจะเปิดให้เด็กเข้าเรียนได้ในเดือนกันยายน ขณะที่ความช่วยเหลือคนว่างงานก้อนพิเศษก็จะยุติในเดือนกันยายน ดังนั้น เราจะได้เห็นความคลี่คลายด้านปัญหาแรงงานขาดแคลน” เลวานอนกล่าว

ปธน.ไบเดนไฝว้ทุกช่องทางเพื่อให้ค่าแรงพุ่งขึ้นไปปักหลักที่ 15 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง

สำหรับระยะกลาง ต้องจับตาความสำเร็จของนโยบายที่ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ออกโรงต่อสู้เพื่อขับเคลื่อนและผลักดันให้ค่าจ้างขั้นต่ำปักหลักที่อัตรา 15 ดอลลาร์ทั่วประเทศให้สำเร็จ

ที่ผ่านมา ไบเดนพยายามนำแผนปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำไปเป็นส่วนหนึ่งของร่างกฎหมายงบประมาณสนับสนุนแพกเกจฟื้นฟูเศรษฐกิจสังคมจากผลกระทบแห่งโคโรนาไวรัส มูลค่า 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ถูกรัฐสภาดึงออก ก่อนจะทำการลงคะแนนเสียงให้การรับรองแพกเกจฟื้นฟูเศรษฐกิจสังคมฯ จนเสร็จสิ้นเมื่อ 10 มีนาคม 2021 และไบเดนลงนามออกเป็นกฎหมายเมื่อ 11 มีนาคม

ดังนั้น ไบเดนจึงต้องขับเคลื่อนเรื่องปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำผ่านอีกช่องทางหนึ่ง คือ ช่องทางคำสั่งฝ่ายบริหารที่ตนมีอำนาจเต็ม

เมื่อวันที่ 27 เมษายน ไบเดนลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารที่กำหนดให้วิสาหกิจที่ประมูลงานของรัฐบาลกลาง ต้องยกระดับค่าจ้างขั้นต่ำให้แก่พนักงานเป็น 15 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง ภายในปี 2022-2024 ทั้งนี้ อัตราค่าจ้างในปัจจุบันอยู่ที่ 10.95 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารที่กำหนดให้วิสาหกิจที่ประมูลงานของรัฐบาลกลาง ต้องยกระดับค่าจ้างขั้นต่ำให้แก่แรงงานเป็น 15 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง ภายในปี 2022-2024
ผลกระทบแสนดีจากสิ่งนี้ คือ การเพิ่มรายได้พิเศษก้อนโตประมาณ 37% ของจำนวนที่ได้รับในทุกวันนี้ เข้าสู่ครัวเรือนของผู้ใช้แรงงานราว 390,000 ราย ซึ่งประมาณครึ่งหนึ่งเป็นแรงงานเชื้อสายแอฟริกัน กับแรงงานเชื้อสายละติน

ดังนั้น แรงงานจะหลั่งไหลเข้าสู่ธุรกิจที่ทำงานกับภาครัฐ และส่งผลให้ธุรกิจในฝั่งเอกชนต้องปรับขึ้นอัตราค่าจ้างเพื่อชิงแรงงานไปใช้ได้เพียงพอ

ความพยายามปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นหนังยาวและเข้มข้นมาตั้งแต่ช่วงที่ไบเดนหาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ไบเดน ได้เสนอต่อประชาชนว่าจะส่งเสริมความเข้มแข็งของสหภาพแรงงานและจะทำการยกระดับค่าจ้างขั้นต่ำให้สำเร็จ

ความสำเร็จของสองเรื่องนี้คือปัจจัยความสำเร็จในการสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชนชั้นกลางอเมริกัน พร้อมกับช่วยลดช่องว่างความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจและเชื้อชาติ ทั้งนี้ ในช่วงรัฐบาลทรัมป์ สหภาพแรงงานอ่อนแอลงอย่างมากมาย

ซาร่า แฟร์ริงตัน สาวเสิร์ฟจากเมืองเดอร์แฮม รัฐนอร์ทแคโรไลนา ชูป้ายรณรงค์ที่เขียนว่า “ค่าจ้างขั้นต่ำ 15 ดอลลาร์ต่อชั่วโมงจะช่วยสร้างเสถียรภาพให้แก่ครัวเรือนของดิฉัน” เธอกลายเป็นนักเคลื่อนไหวทางสังคม เธอเข้าร่วมกับมวลชนทำการกดดันวุฒิสภามิให้หั่นแผนปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ออกจากร่างกฎหมายงบประมาณสนับสนุนแพ็คเก็จฟื้นฟูเศรษฐกิจสังคมจากผลกระทบแห่งโคโรนาไวรัส มูลค่า 1.9 ล้านล้านดอลลาร์  การรณรงค์ของเธอไม่ประสบความสำเร็จ ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา วุฒิสภาอเมริกันหั่นแผนนี้ออกอย่างง่ายดาย
หลังเข้ารับตำแหน่งในเดือนมกราคม 2021 ไบเดนลงมืออย่างเป็นรูปธรรม เช่น
* ย้ายเจ้าหน้าที่รัฐบาลที่มีทัศนคติเป็นปฏิปักษ์กับแรงงาน
* ยกเลิกกฎระเบียบเก่าของอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ลดการคุ้มครองที่แรงงานเคยได้รับ
*ผลักดันให้แผนฟื้นฟูภาคเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากโรคระบาดโควิด-19  มูลค่า 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ ครอบคลุมถึงแผน American Rescue Plan มูลค่า 86,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจะเข้าไปอุ้มบรรดากองทุนเงินบำนาญร่วมระหว่างนายจ้างในภาคเอกชนที่บริหารงานล้มเหลวจำนวน 1,400 แห่ง ซึ่งจะทำให้แรงงานมากถึง 10 ล้านราย ได้รับผลประโยชน์ตามสิทธิ์ของกองทุนเงินบำนาญ โดยแผนฟื้นฟูฯ ตัวหลักผ่านการเห็นชอบของวุฒิสภาแล้วเมื่อเดือนมีนาคม

จึงอาจกล่าวได้ว่า การลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อส่งผลให้แรงงาน 390,000 ราย ภายในธุรกิจที่รับงานจากรัฐบาลกลาง ได้รับค่าแรงสูงขึ้น 37% คือ ความก้าวหน้าครั้งสำคัญในการส่งเสริมสนับสนุนขบวนการแรงงานในระบบที่มีการบริหารจัดการในรูปแบบสหภาพแรงงานนั่นเอง

โดย รัศมี มีเรื่องเล่า

(ที่มา: เอพี รอยเตอร์ เดอะการ์เดียน เนชั่นแนลลอว์รีวิว มาร์เก็ตวอทช์ดอทคอม คอมมอนส์วิกิมีเดีย)



กำลังโหลดความคิดเห็น