ภัตตาคาร ฟาสต์ฟู้ด ห้างร้าน และธุรกิจบริการใหญ่น้อยในสหรัฐอเมริกา แห่กันเพิ่มค่าจ้างพรึ่บพรั่บ เพื่อดึงดูดแรงงานให้สมัครเข้าร่วมทีมบริการลูกค้าซึ่งหลั่งไหลเข้าไปจับจ่ายกินใช้เนืองแน่น หลังวิกฤตโรคระบาดโควิด-19 แผ่วลงมาก และทำให้หลากหลายรัฐยอมผ่อนคลายมาตรการคุมเข้มทั้งปวง
ทั้ง แมคโดนัลด์ (McDonald’s) ทั้งชีตซ์ (Sheetz) ทั้งชิปอตเล่ (Chipotle) และสารพัดค่ายใหญ่ค่ายดังในธุรกิจบริการล้วนแข่งกันดันอัตราค่าจ้างพนักงานขึ้นพรวดพราด โดยเจริญรอยตามวิสาหกิจเมกก้าไซส์อย่างแอมะซอน (Amazon) วอลมาร์ท (Walmart) และ คอสท์โก (Costco) ที่ได้อัปค่าจ้างทะยานสูงลิ่ว โดยบางค่ายไปถึงชั่วโมงละ 15 ดอลลาร์ (ประมาณ 470 บาทต่อชั่วโมง!!) หรือกว่านั้น เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แนวโน้มค่าแรงทะยานสูงแบบนี้ที่ปรากฏให้เห็นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ต้นปี 2021 เป็นผลประโยชน์โดยตรงของลูกจ้าง กระนั้นก็ตาม อัตราค่าแรงที่แพงขึ้นนักหนา ก็ยังเป็นตัวเลขขำๆ เมื่อเทียบกับอัตราค่าตอบแทนพนักงานในอุตสาหกรรมอื่น ดังปรากฏว่า ภัตตาคาร บาร์ โรงแรม และร้านค้าสารพัดประเภท ล้วนเป็นอุตสาหกรรมที่ให้อัตราค่าตอบแทนต่ำที่สุด ยิ่งกว่านั้น ตลอดปีที่ผ่านมา พนักงานจำนวนมากในอุตสาหกรรมนี้ต้องทำงานโดยเสี่ยงกับการติดเชื้อโควิด-19
หลายหลากรัฐและหลายๆ เมืองทยอยผ่อนคลายข้อบังคับที่เคยสั่งให้ภาคธุรกิจปฏิบัติเพื่อป้องกันการลุกลามของวิกฤตโรคระบาดโควิด 19 หลังจากที่ยอดผู้เสียชีวิตด้วยไวรัสโควิด 19 และผู้ติดเชื้อรายใหม่ ลดฮวบลง ทั้งนี้ ในพื้นที่อย่างฟลอริดา, เนวาดา และเทกซัส ปริมาณการเข้าใช้บริการในภัตตาคาร ร้านอาหารประเภทต่างๆ กลับไปคึกคักในระดับที่ใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดโรคระบาด หรือกระทั่งคึกคักมากยิ่งขึ้นก็มี ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์จองภัตตาคารแห่งค่าย OpenTable ให้ข้อมูลมาอย่างนั้น
ลูกค้าแห่กันกลับมาใช้บริการเร็วกว่าที่จะเตรียมพนักงานรองรับได้ทัน
บริษัทมากมายให้สัมภาษณ์ว่าต้องดิ้นรนหนักเพื่อหาจ้างแรงงานเข้าไปรองรับลูกค้าที่ไหลบ่าเข้าใช้บริการหลังวิกฤตโควิด-19 ซาความรุนแรง
“ลูกค้ากลับมาเยอะมากและมาเร็วกว่าที่ฝ่ายต่างๆ คาดการณ์ไว้ ร้านอาหารทั้งหลายหาพนักงานมารองรับไม่ทันกันเลยครับ” จอช ไบเวนส์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของสถาบันนโยบายเศรษฐกิจ หรือ Economic Policy Institute (EPI) กล่าว พร้อมบอกว่า “ต้องใช้วิธีขึ้นค่าแรงล่ะครับ จึงเพิ่มพนักงานได้บ้าง”
ในเดือนเมษายน ซึ่งระดับการจ้างงานโดยรวมยังไม่กระเตื้อง ธุรกิจภัตตาคาร โรงแรม และสถานที่บันเทิงต่างๆ เริ่มรับพนักงานใหม่เข้าไปมากขึ้นกว่าที่ปรากฏในเดือนมีนาคม ซึ่งเป็นสัญญาณชี้บ่งว่าการเพิ่มค่าจ้างนั้นได้ผล
ส่องตาทิพย์ ค่ายไหน ให้ค่าแรงเพิ่มเท่าไร
ฟาสต์ฟู้ดค่ายยักษ์อย่าง แมคโดนัลด์ ประกาศจะเพิ่มอัตราค่าแรงให้แก่พนักงานในร้านของแมคฯเองจำนวน 650 แห่งทั่วสหรัฐฯ ให้เป็นอัตราเฉลี่ยที่ 15 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง ภายในปี 2024 โดยพนักงานเข้าใหม่จะได้รับที่ 11 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง พร้อมนี้ แมคฯ จะส่งเสริมให้ร้านที่เป็นแฟรนไชส์จำนวนประมาณ 14,000 แห่งทั่วประเทศ สร้างความเปลี่ยนแปลงแบบเดียวกันนี้ด้วย ทั้งนี้ แมคฯ ประกาศไว้เมื่อพฤหัสบดีที่ผ่านมา (13 พฤษภาคม)
ส่วนชิปอตเล่ ร้านอาหารเม็กซิกันที่มีเมนูหลากหลายและตั้งสาขาทั่วสหรัฐฯ ประกาศก่อนแมคโดนัลด์หลายวัน ว่าจะเพิ่มค่าจ้างอย่างตั๋งๆ ให้แก่ทั้งพนักงานใหม่และพนักงานปัจจุบัน จากอัตรา 11 ดอลลาร์ต่อชั่วโมงในขณะนี้ เป็นอัตราสูงสุดที่ 18 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง หรือเท่ากับอัตราเฉลี่ยที่ 15 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง ภายในปลายเดือนมิถุนายน 2021 โดยประกาศไว้เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2021
ด้าน แอมะซอนก็ประกาศในวันเดียวกันว่าจะยกระดับอัตราค่าจ้างใหม่ขึ้นเป็น 17 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง เพราะมีแผนจะรับพนักงานใหม่เข้าร่วมทีมจำนวน 75,000 ตำแหน่ง ยิ่งกว่านั้น จอมยักษ์ออนไลน์บอกว่าจะให้โบนัส 100 ดอลลาร์แก่พนักงานใหม่ที่รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด 19 แล้ว
ส่วน ค่ายชีทซ์ เจ้าพ่อเครือข่ายร้านสะดวกซื้อที่มีตั้งแต่น้ำมันยันไม้จิ้มฟันและกาแฟอร่อยหอมฉุย ประกาศเมื่อวันจันทร์ (10) ว่าพนักงาน 18,000 รายของตนจะได้รับอัตราค่าแรงเพิ่มขึ้นอีก 2 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง ยิ่งกว่านั้น ตลอดเดือนฤดูร้อน พนักงานจะได้รับค่าแรงแถมวันละ 1 ชั่วโมงด้วย
ศึกโก่งค่าจ้างเพื่อชิงแรงงานภายในธุรกิจร้านอาหารจะดุดันในไม่กี่เดือนนี้ สาเหตุใหญ่คือเงินฟรีจากรัฐ ดีกว่าอัตราค่าแรง
เทรนด์แห่งค่าแรงไต่ระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ ชัดเจนตั้งแต่ปี 2019 ก่อนที่สหรัฐฯ จะประสบวิกฤตโรคระบาดโควิด 19 ผอ.ไบเวนส์แห่ง EPI บอกอย่างนั้น พร้อมทำนายว่าในไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ เทรนด์การปรับขึ้นอัตราค่าจ้างเพื่อดึงแรงงานเข้าร่วมทีมจะเอิกเกริกยิ่งกว่าที่เคยปรากฏในปี 2019
ทั้งนี้ สัญญาณตัวแดงเตือนรัวๆ มาจากข้อเท็จจริงว่า จำนวนตำแหน่งงานที่เปิดรับรับสมัครทั้งหมดในสหรัฐฯ ณ ปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา พุ่งแตะระดับ 8.2 ล้านตำแหน่ง กระนั้นก็ตาม ณ เดือนเมษายน ผู้ประกอบการสามารถดึงคนเข้าทำงานได้แค่ 266,000 ราย!!
สาเหตุสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้ผู้ใช้แรงงานไม่กระตือรือร้นออกจากบ้านมาสมัครงาน มีสามประการ คือ (1) หวั่นเกรงการติดเชื้อโควิด 19 (2) แรงงานสายคุณแม่จำนวนมากมีภารกิจดูแลเด็กๆ ที่ต้องเรียนหนังสือออนไลน์ ไม่ได้ไปโรงเรียน (3) เงินอัดฉีดช่วยเหลือเพิ่มเติมรายละ 300 ดอลลาร์ ที่รัฐบาลของประธานาธิบดี โจ ไบเดน มอบแก่ผู้ตกงานสืบเนื่องจากผลกระทบแห่งโรคระบาดโควิด 19 ซึ่งส่งผลให้ผู้ใช้แรงงานมีรายได้จากสวัสดิการสังคมบวกเงินอัดฉีดเพิ่มเติมแล้ว สูงกว่าที่รับจากการออกไปเป็นพนักงาน
กระนั้นก็ตาม ปัจจัยเหล่านี้มิใช่จะยั่งยืน โดย แกด เลวานอน นักเศรษฐศาสตร์แรงงานแห่ง Conference Board องค์กรวิจัยเอกชนค่ายยักษ์ที่ได้รับความเชื่อถือทั่วสหรัฐฯ ได้ชี้ว่าปัญหาแรงงานขาดแคลนที่ทำให้ต้องแย่งกันดูดคนเข้าร่วมงานดั่งที่เป็นอยู่นี้ จะเป็นปรากฏการณ์ชั่วคราว ซึ่งหมายถึงว่าผู้ประกอบการไม่ต้องคอยแต่จะปรับขึ้นค่าจ้างเพื่อดึงแรงงานเข้าไปช่วยดูแลลูกค้า
“ความกลัวโควิดน่าจะลดลง สถานศึกษาทั้งปวงน่าจะเปิดให้เด็กเข้าเรียนได้ในเดือนกันยายน ขณะที่ความช่วยเหลือคนว่างงานก้อนพิเศษก็จะยุติในเดือนกันยายน ดังนั้น เราจะได้เห็นความคลี่คลายด้านปัญหาแรงงานขาดแคลน” เลวานอนกล่าว
ปธน.ไบเดนไฝว้ทุกช่องทางเพื่อให้ค่าแรงพุ่งขึ้นไปปักหลักที่ 15 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง
สำหรับระยะกลาง ต้องจับตาความสำเร็จของนโยบายที่ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ออกโรงต่อสู้เพื่อขับเคลื่อนและผลักดันให้ค่าจ้างขั้นต่ำปักหลักที่อัตรา 15 ดอลลาร์ทั่วประเทศให้สำเร็จ
ที่ผ่านมา ไบเดนพยายามนำแผนปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำไปเป็นส่วนหนึ่งของร่างกฎหมายงบประมาณสนับสนุนแพกเกจฟื้นฟูเศรษฐกิจสังคมจากผลกระทบแห่งโคโรนาไวรัส มูลค่า 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ถูกรัฐสภาดึงออก ก่อนจะทำการลงคะแนนเสียงให้การรับรองแพกเกจฟื้นฟูเศรษฐกิจสังคมฯ จนเสร็จสิ้นเมื่อ 10 มีนาคม 2021 และไบเดนลงนามออกเป็นกฎหมายเมื่อ 11 มีนาคม
ดังนั้น ไบเดนจึงต้องขับเคลื่อนเรื่องปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำผ่านอีกช่องทางหนึ่ง คือ ช่องทางคำสั่งฝ่ายบริหารที่ตนมีอำนาจเต็ม
เมื่อวันที่ 27 เมษายน ไบเดนลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารที่กำหนดให้วิสาหกิจที่ประมูลงานของรัฐบาลกลาง ต้องยกระดับค่าจ้างขั้นต่ำให้แก่พนักงานเป็น 15 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง ภายในปี 2022-2024 ทั้งนี้ อัตราค่าจ้างในปัจจุบันอยู่ที่ 10.95 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง
ผลกระทบแสนดีจากสิ่งนี้ คือ การเพิ่มรายได้พิเศษก้อนโตประมาณ 37% ของจำนวนที่ได้รับในทุกวันนี้ เข้าสู่ครัวเรือนของผู้ใช้แรงงานราว 390,000 ราย ซึ่งประมาณครึ่งหนึ่งเป็นแรงงานเชื้อสายแอฟริกัน กับแรงงานเชื้อสายละติน
ดังนั้น แรงงานจะหลั่งไหลเข้าสู่ธุรกิจที่ทำงานกับภาครัฐ และส่งผลให้ธุรกิจในฝั่งเอกชนต้องปรับขึ้นอัตราค่าจ้างเพื่อชิงแรงงานไปใช้ได้เพียงพอ
ความพยายามปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นหนังยาวและเข้มข้นมาตั้งแต่ช่วงที่ไบเดนหาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ไบเดน ได้เสนอต่อประชาชนว่าจะส่งเสริมความเข้มแข็งของสหภาพแรงงานและจะทำการยกระดับค่าจ้างขั้นต่ำให้สำเร็จ
ความสำเร็จของสองเรื่องนี้คือปัจจัยความสำเร็จในการสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชนชั้นกลางอเมริกัน พร้อมกับช่วยลดช่องว่างความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจและเชื้อชาติ ทั้งนี้ ในช่วงรัฐบาลทรัมป์ สหภาพแรงงานอ่อนแอลงอย่างมากมาย
หลังเข้ารับตำแหน่งในเดือนมกราคม 2021 ไบเดนลงมืออย่างเป็นรูปธรรม เช่น
* ย้ายเจ้าหน้าที่รัฐบาลที่มีทัศนคติเป็นปฏิปักษ์กับแรงงาน
* ยกเลิกกฎระเบียบเก่าของอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ลดการคุ้มครองที่แรงงานเคยได้รับ
*ผลักดันให้แผนฟื้นฟูภาคเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากโรคระบาดโควิด-19 มูลค่า 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ ครอบคลุมถึงแผน American Rescue Plan มูลค่า 86,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจะเข้าไปอุ้มบรรดากองทุนเงินบำนาญร่วมระหว่างนายจ้างในภาคเอกชนที่บริหารงานล้มเหลวจำนวน 1,400 แห่ง ซึ่งจะทำให้แรงงานมากถึง 10 ล้านราย ได้รับผลประโยชน์ตามสิทธิ์ของกองทุนเงินบำนาญ โดยแผนฟื้นฟูฯ ตัวหลักผ่านการเห็นชอบของวุฒิสภาแล้วเมื่อเดือนมีนาคม
จึงอาจกล่าวได้ว่า การลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อส่งผลให้แรงงาน 390,000 ราย ภายในธุรกิจที่รับงานจากรัฐบาลกลาง ได้รับค่าแรงสูงขึ้น 37% คือ ความก้าวหน้าครั้งสำคัญในการส่งเสริมสนับสนุนขบวนการแรงงานในระบบที่มีการบริหารจัดการในรูปแบบสหภาพแรงงานนั่นเอง
โดย รัศมี มีเรื่องเล่า
(ที่มา: เอพี รอยเตอร์ เดอะการ์เดียน เนชั่นแนลลอว์รีวิว มาร์เก็ตวอทช์ดอทคอม คอมมอนส์วิกิมีเดีย)