xs
xsm
sm
md
lg

Weekend Focus: อนามัยโลกยก ‘โควิดอินเดีย’ เป็นสายพันธุ์น่ากังวล พบผู้ติดเชื้อลามไกลกว่า 44 ประเทศ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศในสัปดาห์นี้ให้เชื้อโควิด-19 ตัวกลายพันธุ์ซึ่งอยู่เบื้องหลังการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วในอินเดียเป็น “สายพันธุ์ที่น่ากังวล” ซึ่งจำเป็นจะต้องมีการเฝ้าติดตามและวิเคราะห์อย่างใกล้ชิด และจนถึงตอนนี้มีการพบผู้ติดเชื้อกลายพันธุ์จากอินเดียแล้วในหลายสิบประเทศ

อินเดียซึ่งมีประชากรราว 1,300 ล้านคนกลายเป็นชาติที่พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 มากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐฯ โดยจากข้อมูลในวันพุธ (12) พบว่ายอดผู้ป่วยสะสมพุ่งขึ้นเป็นกว่า 23.3 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิตเกิน 250,000 คน ขณะที่ผู้ติดเชื้อรายวันยังคงพุ่งเกินกว่า 300,000 คน และเสียชีวิตระหว่าง 3,000-4,000 คนต่อเนื่องมานานหลายสัปดาห์

การระบาดระลอกใหม่นี้พุ่งเป้าเล่นงานบรรดาเมืองใหญ่ของอินเดีย รวมถึงกรุงนิวเดลีและนครมุมไบ เมืองศูนย์กลางการเงินที่สำคัญ จนทำให้สถานพยาบาลแทบจะรองรับคนป่วยไม่ไหว และยังก่อปัญหาขาดแคลนถังออกซิเจนและเตียงคนไข้อย่างรุนแรง

อย่างไรก็ตาม WHO ชี้ว่าการจัดเทศกาลและกิจกรรมทางศาสนาขนาดใหญ่ที่ทำให้คนนับหมื่นนับแสนมารวมตัวกันโดยปราศจากการเว้นระยะห่าง รวมไปถึงการไม่บังคับใช้หรือไม่เคารพกฎการควบคุมโรค ก็เป็นอีกสาเหตุหลักที่ทำให้อินเดียตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายเช่นปัจจุบัน

หน่วยงานด้านสาธารณสุขของสหประชาชาติระบุในรายงานอัปเดตสถานการณ์โรคระบาดประจำสัปดาห์นี้ว่า เชื้อโควิด-19 ตัวกลายพันธุ์ B.1.617 ที่ปรากฏครั้งแรกในอินเดียเมื่อช่วงเดือน ต.ค. ปี 2020 ถูกพบในกว่า 4,500 ตัวอย่างที่อัปโหลดผ่านฐานข้อมูลแบบเปิดจาก 44 ประเทศใน 6 ภูมิภาคของ WHO โดยนอกจากอินเดียแล้ว ประเทศที่มีผู้ติดเชื้อกลายพันธุ์ตัวนี้มากที่สุดก็คือ “อังกฤษ”

สัปดาห์นี้ WHO ยังได้ประกาศให้โควิด-19 สายพันธุ์อินเดีย B.1.617 ซึ่งยังมีแยกย่อยออกไปอีก 3 ชนิดจากการกลายพันธุ์และลักษณะเฉพาะที่ต่างกันเล็กน้อย เป็น “สายพันธุ์ที่น่ากังวล (variant of concern)” ร่วมกับโควิดกลายพันธุ์อื่นๆ อีก 3 ตัว ได้แก่ สายพันธุ์บราซิล, สายพันธุ์อังกฤษ และสายพันธุ์แอฟริกาใต้

โควิด-19 สายพันธุ์ B.1.167 นั้นมีการกลายพันธุ์หลักๆ อยู่ 2 ตำแหน่ง (double mutant) คือบริเวณโปรตีนหนามในตำแหน่ง E484Q and L245R และนอกจาก 3 ชนิดย่อยของ B.1.167 แล้ว ยังมีการพบเชื้อกลายพันธุ์อีกตัวในอินเดียที่เรียกกันว่า B.1.168 หรือสายพันธุ์เบงกอล

ไวรัสตัวกลายพันธุ์เหล่านี้ถูกมองว่ามีอันตรายมากกว่าโควิด-19 สายพันธุ์ดั้งเดิมที่ปรากฏในจีน เนื่องจากสามารถติดต่อได้ง่ายกว่า, ทำให้เกิดอาการป่วยรุนแรงกว่า หรืออาจจะสามารถหลบหลีกภูมิคุ้มกันที่เกิดจากการฉีดวัคซีน

WHO อธิบายว่าสาเหตุที่ตัดสินใจเพิ่มสายพันธุ์อินเดียลงในบัญชี “น่ากังวล” ก็เนื่องจากไวรัสตัวนี้ติดต่อได้ง่ายมาก และทำให้จำนวนผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในหลายๆ ประเทศ

การระบาดของสายพันธุ์ B.1.617 บวกกับเชื้อกลายพันธุ์ตัวอื่นๆ ที่แพร่ได้เร็วกว่าเดิม น่าจะเป็นหนึ่งในหลายๆ สาเหตุที่ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตแดนภารตะพุ่งสูงขึ้นจนน่าตกใจ แต่ WHO ระบุว่าข้อมูลที่มีอยู่ยังคงไม่ชัดเจน เนื่องจากตอนนี้มีผลตรวจผู้ติดเชื้อโควิด-19 เป็นบวกในอินเดียเพียง 0.1% เท่านั้นที่ผ่านการวิเคราะห์ลำดับสารพันธุกรรม และอัปโหลดเข้าสู่ฐานข้อมูล GISAID เพื่อยืนยันว่าเป็นสายพันธุ์ใดแน่

จนถึงปลายเดือน เม.ย. เชื้อกลายพันธุ์ B.1.617.1 และ B.1.617.2 คิดเป็น 21% และ 7% ตามลำดับของตัวอย่างทั้งหมดที่รวบรวมจากอินเดีย และนอกจาก 2 ตัวที่ว่ามานี้ก็ยังมีเชื้อกลายพันธุ์อื่นๆ ที่ระบาดอยู่ในอินเดียด้วย เช่น สายพันธุ์ B.1.1.7 ที่พบครั้งแรกในอังกฤษ เป็นต้น

WHO แถลงว่า จากหลักฐานเบื้องต้นบ่งบอกว่าโควิด-19 สายพันธุ์อินเดียสามารถต่อต้านตัวยา Bamlanivimab ที่ใช้รักษาผู้ป่วยโควิดที่อาการไม่รุนแรง และยังมีผลทดลองในห้องปฏิบัติการที่แสดงให้เห็นว่า ไวรัสตัวนี้ทำให้เกิด “การลดลงอย่างจำกัดของประสิทธิภาพในการลบล้างฤทธิ์ (neutralization) โดยสารภูมิคุ้มกัน”

อย่างไรก็ตาม WHO เน้นย้ำว่า ผลกระทบในโลกจริงต่อประสิทธิภาพของวัคซีนในการต่อต้านเชื้อสายพันธุ์อินเดีย “อาจจะยังจำกัดอยู่” ขณะที่ นพ.แอนโธนี เฟาซี ผู้อำนวยการสถาบันภูมิแพ้และโรคติดต่อแห่งชาติสหรัฐฯ ก็อ้างผลการศึกษาเบื้องต้นที่บ่งชี้ว่าวัคซีน Covaxin ที่พัฒนาในอินเดียดูเหมือนจะสามารถลบล้างฤทธิ์ของไวรัสตัวนี้ได้

แม้กราฟผู้ป่วยรายวันในอินเดียจะเริ่มมีสัญญาณเข้าสู่แนวราบ แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการลดลงของจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่คงจะเป็นไปอย่างช้าๆ

“มันยังเร็วเกินไปที่จะฟันธงว่าเรามาถึงจุดพีคแล้วหรือยัง” หนังสือพิมพ์ดิอินเดียนเอ็กซ์เพรสส์อ้างการให้สัมภาษณ์ของ ชาฮิด จามีล ผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสวิทยาที่มีชื่อเสียงของอินเดีย “ถึงกราฟผู้ป่วยใหม่จะมีแนวโน้มเข้าสู่แนวราบ แต่ต้องไม่ลืมว่ามันเป็นกราฟที่สูงมากด้วย เรายังคงอยู่ที่ระดับประมาณ 400,000 คนต่อวัน”

ยอดผู้เสียชีวิตที่เพิ่มวันละหลายพันคนทำให้บางพื้นที่ในชนบทของอินเดียเริ่มประสบปัญหาขาดแคลนฟืนที่จะนำมาใช้เผาศพ ขณะที่ชาวบ้านซึ่งอาศัยอยู่ริมฝั่งแม่น้ำคงคาทางตอนเหนือของอินเดียร้องเรียนว่ามีศพหลายสิบร่างลอยมาติดฝั่งแม่น้ำในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเป็นศพของผู้ป่วยโควิด

ความรุนแรงของโควิด-19 ระลอกนี้ทำให้รัฐบาลนายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี เผชิญแรงกดดันให้สั่งล็อกดาวน์ประเทศ ขณะที่รัฐส่วนใหญ่ในอินเดียใช้อำนาจส่วนท้องถิ่นออกข้อบังคับควบคุมโรค ซึ่งทำให้ภาคธุรกิจและระบบเศรษฐกิจโดยรวมเริ่มได้รับผลกระทบ




กำลังโหลดความคิดเห็น