ตำรวจสหรัฐฯ จับกุมและตั้งข้อหาชายชาวนิวยอร์กซึ่งก่อเหตุทำร้ายร่างกายลุงชาวจีนอาการสาหัสแล้วเมื่อวานนี้ (27 เม.ย.) นับเป็นอีกหนึ่งคดีที่ตำรวจฟันธงว่าเข้าข่ายอาชญากรรมที่เกิดจากความเกลียดชังต่อคนเชื้อสายเอเชีย
สัปดาห์ที่แล้ว ตำรวจได้เปิดคลิปวิดีโอบันทึกเหตุการณ์ขณะที่ หม่า เหยา ผาน ผู้อพยพชาวจีนวัย 61 ปี ถูกชายแปลกหน้าเตะเข้าที่ด้านหลังจนล้มลง จากนั้นผู้ก่อเหตุก็เข้าไปกระทืบที่ศีรษะของเขาอีกหลายครั้งจนชายชราแน่นิ่งไป โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 23 เม.ย. ในย่านอีสต์ฮาร์เล็มของแมนฮัตตัน
จาร์รอด พาวเวลล์ วัย 49 ปี ชายซึ่งกระทืบลุงในคลิป ถูกตั้งข้อหาทำร้ายร่างกาย 2 กระทง และข้อหาพยายามฆ่าอีก 1 กระทง โดยถือเป็นคดีอาชญากรรมที่เกิดจากความเกลียดชัง แต่ตำรวจยังไม่เผยรายละเอียดอื่นๆ เพิ่มเติม
จากข้อมูลวานนี้ (27) ยังไม่ทราบแน่ว่า พาวเวลล์ มีทนายแล้วหรือยัง และจะได้รับการประกันตัวหรือไม่ แต่ตำรวจระบุว่าเขายังคงถูกควบคุมตัวอยู่จนถึงช่วงค่ำ
สื่ออเมริกันหลายสำนัก รวมถึงหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์และนิตยสารพีเพิล รายงานตรงกันว่า หม่า ยังนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลฮาร์เล็มด้วยอาการ “โคม่า” ขณะที่ผู้แทนโรงพยาบาลปฏิเสธที่เผยข้อมูลคนไข้ต่อผู้สื่อข่าวรอยเตอร์
นิตยสารพีเพิลระบุว่า หม่า เป็นเชฟขนมหวาน (pastry chef) ที่เพิ่งอพยพมาอยู่อเมริกากับภรรยาเมื่อ 2 ปีที่แล้ว
ศูนย์ศึกษาด้านความเกลียดชังและลัทธิสุดโต่ง (Center for the Study of Hate and Extremism) แห่งมหาวิทยาลัยแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย ซานเบอร์นาดิโน ได้เผยแพร่รายงานซึ่งระบุว่า อาชญากรรมความเกลียดชังต่อชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียและคนจากหมู่เกาะแปซิฟิกเพิ่มขึ้นถึง 145% ในปี 2020 แม้ว่าอาชญากรรมความเกลียดชังในภาพรวมทั่วสหรัฐฯ จะลดลงเล็กน้อยก็ตาม
เมื่อเดือน มี.ค. เกิดเหตุชายผิวขาวกราดบิงสปา 2 แห่งทั้งในและรอบๆ เมืองแอตแลนตาจนทำให้มีผู้เสียชีวิต 8 คน โดย 6 คนเป็นหญิงชาวเอเชีย ขณะที่ตำรวจยังไม่ปฏิเสธความเป็นไปได้ที่คนร้ายจะถูกตั้งข้อหาก่ออาชญากรรมความเกลียดชัง
ชาวอเมริกันจำนวนไม่น้อยโทษคนเอเชียว่าเป็นตัวการแพร่เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งถูกพบเป็นครั้งแรกที่เมืองอู่ฮั่นของจีนเมื่อปลายปี 2019 และการที่ผู้นำประเทศอย่างอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ออกมาเรียกขานโรคนี้ว่า “ไวรัสจีน” และ “กังฟลู” ต่อหน้าสาธารณชนหลายต่อหลายครั้งก็เป็นปัจจัยที่ช่วยโหมกระพือความรู้สึกเกลียดชังคนเอเชียให้รุนแรงยิ่งขึ้น
ที่มา: รอยเตอร์