สำนักงานศุลกากรและป้องกันชายแดนสหรัฐฯ (CBP) มีคำสั่งกักสินค้าของบริษัท Top Glove Corp Bhd ผู้ผลิตถุงมือยางรายใหญ่สัญชาติมาเลเซีย ไม่ให้เข้าประเทศวานนี้ (29 มี.ค.) โดยอ้างว่าทางบริษัทมีการบังคับใช้แรงงานในสายการผลิต
CBP ออกประกาศในช่วงกลางดึกว่า ทางหน่วยงานได้รับข้อมูลที่น่าเชื่อถือว่าผู้ผลิตถุงมือการแพทย์รายใหญ่ที่สุดของโลกมีการละเมิดสิทธิแรงงาน ซึ่งก่อนหน้านี้ CBP ก็เคยสั่งห้ามนำเข้าสินค้าจากบริษัทลูก 2 แห่งของ Top Glove มาแล้วเมื่อเดือน ก.ค. ปี 2020 ด้วยเหตุผลเดียวกัน
ล่าสุด ทางสำนักงานยืนยันกับรอยเตอร์ว่า มาตรการแบนสินค้าได้ถูกขยายครอบคลุมถุงมือยางแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งจากทุกๆ โรงงานของ Top Glove ในมาเลเซีย
ความเคลื่อนไหวของสหรัฐฯ ฉุดราคาหุ้น Top Glove ดิ่งลงทันทีเกือบ 5% ในการซื้อขายเมื่อช่วงเช้าวันนี้ (30)
Top Glove ระบุว่า คณะที่ปรึกษาในสหรัฐฯ ได้ติดต่อประสานไปยังผู้แทน CBP เพื่อขอคำชี้แจงและขอทราบข้อมูลเพิ่มเติมแล้ว และขณะนี้บริษัทยังไม่สามารถประเมินผลกระทบที่จะเกิดขึ้นทั้งในแง่การเงินและการผลิต
จอห์น เลนเนิร์ด รักษาการผู้ช่วยกรรมมาธิการฝ่ายการค้าของ CBP ยืนยันว่า คำสั่งแบนสินค้า Top Glove จะไม่ส่งผลกระทบมากนักต่ออุปทานถุงมือแพทย์ ซึ่งถือเป็นสินค้าจำเป็นในช่วงที่สหรัฐฯ ยังเผชิญการระบาดของโควิด-19
Top Glove ยืนยันว่าบริษัทได้มีการปรับปรุงกฎระเบียบด้านการทำงานในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา หลังมีการตีแผ่ข้อมูลว่า พนักงานส่วนใหญ่ซึ่งเป็นชาวเนปาล บังกลาเทศ และอื่นๆ ที่อพยพเข้ามาทำงานในมาเลเซียต้องทำงานถึง 72 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ (เฉลี่ยมากกว่า 10 ชั่วโมงต่อวันโดยไม่มีวันหยุด) และนอนรวมกันอย่างแออัดในหอพัก โดยที่ได้ค่าแรงต่ำ อีกทั้ง Top Glove ยังเป็นหนึ่งในบริษัทที่ถูกรายงานว่ามีการบังคับให้พนักงานจ่ายเงินเพื่อเข้าทำงานในโรงงานถุงมือยาง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการทำงานใช้หนี้และถูกผูกมัดไว้กับนายจ้าง
บริษัทที่ปรึกษาด้านจริยธรรมการค้า Impactt ซึ่งได้รับแต่งตั้งจาก Top Glove ให้ตรวจประเมินพฤติกรรมการค้าและแรงงานของบริษัท ได้เผยแพร่รายงานเมื่อต้นเดือนนี้ว่า จากข้อมูลล่าสุดในเดือน ม.ค. “ไม่พบตัวบ่งชี้” ถึงการบังคับใช้แรงงานอย่างเป็นระบบในโรงงานของ Top Glove แล้ว
ที่มา: รอยเตอร์