กองกำลังด้านความมั่นคงของพม่า สังหารพลเรือนไปแล้วอย่างน้อย 510 ศพ ในช่วงเวลาแค่เกือบ 2 เดือน ในความพยายามหยุดการประท้วงต่อต้านรัฐประหาร 1 กุมภาพันธ์ อย่างไรก็ตาม ประชาชนหลายพันคนไหลบ่าสู่ท้องถนนอีกครั้งในวันจันทร์ (29 มี.ค.) แม้ยอดผู้เสียชีวิตยังคงเพิ่มขึ้นไม่หยุด ขณะเดียวกัน ได้มีจดหมายเปิดผนึกเรียกร้องกองกำลังชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์ร่วมลุกขึ้นสู้ต่อต้านกองทัพ
สมาคมช่วยเหลือนักโทษการเมืองพม่า (AAPP) เผยว่า มีพลเรือนเสียชีวิตเพิ่มอีก 14 ราย ในวันจันทร์ (29 มี.ค.) พร้อมกับอัปเดตตัวเลขของวันที่ผ่านๆ มา โดยปรับเพิ่มยอดผู้เสียชีวิตเมื่อวันเสาร์ (27 มี.ค.) ซึ่งเป็นวันนองเลือดที่สุดนับตั้งแต่รัฐประหาร เป็น 141 ราย
ทำเนียบขาวประณามการเข่นฆ่าพลเรือนและการใช้กำลังถึงตาย “น่ารังเกียจ” ของกองทัพพม่า พร้อมกับเรียกร้องอีกครั้งให้คืนสู่ประชาธิปไตย ส่วน อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการใหญ่สหประชาชาติ เรียกร้องเหล่านายพลพม่า หยุดฆ่าและปราบปรามผู้ประท้วง
ในบรรดาผู้เสียชีวิตในวันจันทร์ (29 มี.ค.) รวมถึง 8 ราย ที่ย่านดากองใต้ ของเมืองย่างกุ้ง จากการเปิดเผยของสมาคมช่วยเหลือนักโทษการเมืองพม่า
ผูุ้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า กองกำลังด้านความมมั่นคงใช้อาวุธลำกล้องใหญ่กว่าปกติ เข้าเคลียร์แนวกั้นถุงทรายของผูู้ประท้วง ไม่เป็นที่ชัดเจนว่าอาวุธที่ใช้นั้นคืออะไร แต่คนกลุ่มหนึ่งโพสต์ภาพถ่ายเป็นรูปทหารพร้อมกับเครื่องยิงลูกระเบิด
สถานีโทรทัศน์แห่งรัฐรายงานว่า กองกำลังด้านความมั่นคงใช้ “อาวุธปราบจลาจล” เข้าสลายฝูงม็อบก่อการร้ายใช้ความรุนแรง ซึ่งทำลายทางเท้าและเล่นงานชายคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บ
โม มยินต์ เฮน แกนนำนักศึกษาบอกกับรอยเตอร์ ว่า มีผู้เสียชีวิตอีก 2 คน หลังถูกยิงในเมืองมยินจาน ขณะที่สื่อมวลชนและโพสต์ต่างๆ บนสื่อสังคมออนไลน์ ระบุว่า แม้สถานการณ์เต็มไปด้วยความรุนแรง ฝูงชนยังคงออกมาบนท้องถนนในเมืองต่างๆทั่วประเทศ
หนึ่งในกลุ่มหลักที่อยู่เบื้องหลังการประท้วง คณะกรรมการนัดหยุดงานประท้วงทั่วประเทศแห่งชาติพันธุ์ (General Strike Committee of nationalities หรือ GSCN) เรียกร้องในจดหมายเปิดผนึกบนเฟซบุ๊ก ร้องขอกองกำลังชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์ ช่วยผู้คนที่กำลังยืนหยัดต่อสู้กับการกดขี่ที่ไม่ยุติธรรมของกองทัพ
“มันจำเป็นที่องค์การติดอาวุธชาติพันธุ์ต่างๆ ต้องร่วมมือกันเพื่อปกป้องประชาชน” ทางกลุ่มระบุ
กองทัพพม่าอ้างความชอบธรรมการกุมอำนาจไว้นานหลายทศรรษ ว่า พวกเขาเป็นสถาบันเดียวที่มีศักยภาพสงวนไว้ซึ่งความสามัคคีของชาติ ส่วนการยึดอำนาจเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์นั้น พวกเขาอ้างว่าศึกเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายนปีก่อน ที่พรรคของนางอองซาน ซูจี คว้าชัยชนะอย่างถล่มทลาย มีการโกงอย่างกว้างขวาง คำกล่าวหาที่ทางคณะกรรมการเลือกตั้งปฏิเสธ
ซูจี ยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมตัว ณ สถานที่หนึ่งซึ่งไม่เปิดเผย เช่นเดียวกับแกนนำระดับสูงหลายคนในพรรคของเธอ
เมื่อถามว่า เขาต้องการส่งสารใดไปถึงเหล่านายพลพม่า เลขาธิการใหญ่สหประชาชาติตอบว่า “หยุดฆ่า หยุดปราบปรามผู้ประท้วง ปล่อยนักโทษการเมือง และคืนอำนาจแก่ผู้ที่มีสิทธิใช้อำนาจโดยชอบธรรม”
ทอม แอนดรูว์ ผู้รายงานพิเศษว่าด้วยพม่าของสหประชาชาติ บอกว่ากองทัพกำลังปฏิบัติการ “ฆาตกรรมหมู่” ส่วน แคเธอรีน ไท่ ผู้แทนการค้าอเมริกาในวันจันทร์ (29 มี.ค.) เผยว่า สหรัฐฯกำลังระงับทุกความร่วมมือกับพม่าภายใต้ข้อตกลงการค้าและการลงทุนปี 2013 จนกว่าจะคืนอำนาจแก่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย
อย่างไรก็ตาม เสียงประณามจากต่างชาติและมาตรการคว่ำบาตรจากตะวันตกล้มเหลวในการชักจูงเหล่านายพล
จีนและอินเดียปฏิเสธประณามรัฐประหาร ส่วนรัสเซียเน้นย้ำความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพม่า ด้วยการส่ง อเล็กซานเดอร์ โฟมิน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ไปร่วมพิธีสวนสนาม และให้คำสัญญากระชับความสัมพันธ์ทางทหาร โดยเครมลินอ้างว่ารัสเซียมีความสัมพันธ์ที่สร้างสรรค์กับพม่ามายาวนาน แต่พวกเขาก็ไม่ได้เห็นด้วยกับเหตุการณ์ที่น่าเศร้าต่างๆ ในพม่า
