รัสเซียมีคำสั่งเรียกเอกอัครราชทูตประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เดินทางกลับกรุงมอสโกวานนี้ (17 มี.ค.) เพื่อหารือทิศทางความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ หลังจากที่ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ออกมาประณามผู้นำหมีขาวว่าเป็น “ฆาตกร” แถมยังขู่ว่าด้วยว่า “จะต้องได้รับผลตอบสนอง” จากความพยายามป่วนศึกเลือกตั้งในสหรัฐฯ ในความเคลื่อนไหวที่จุดชนวนวิกฤตการทูตครั้งใหญ่
ผู้นำสหรัฐฯ ได้ให้สัมภาษณ์กับเอบีซีนิวส์เกี่ยวกับรายงานของหน่วยข่าวกรองที่ระบุว่า ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซียพยายามแทรกแซงผลการเลือกตั้งเมื่อเดือน พ.ย. ปีที่แล้ว เพื่อบ่อนทำลายคะแนนเสียงของ ไบเดน และช่วยหนุนอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ไปสู่ชัยชนะสมัยที่ 2
“เขาจะต้องได้รับผลตอบสนอง” ไบเดน วัย 78 ปี ระบุ
เมื่อพิธีกรถามต่อไปว่า เขามอง ปูติน เป็น “ฆาตกร” หรือไม่ หลังจากที่ผู้นำรัสเซียถูกครหาว่าอยู่เบื้องหลังการวางยาพิษผู้นำฝ่ายค้าน อเล็กเซย์ นาวาลนี และกำจัดศัตรูทางการเมืองคนอื่นๆ ซึ่ง ไบเดน ก็ตอบว่า “ผมคิดเช่นนั้น”
บทสัมภาษณ์ชิ้นนี้ถูกออกอากาศพร้อมๆ กับที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ประกาศยกระดับคุมเข้มการส่งออกสินค้าไปยังรัสเซียเพื่อตอบโต้กรณีการวางยาพิษ นาวาลนี
รัสเซียออกมาตอบโต้ทันควันด้วยการเรียกเอกอัครราชทูตของตนกลับประเทศเป็นการด่วน ทว่ากระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ยังไม่ได้ใช้มาตรการตอบสนองแบบเดียวกัน
“อนาโตลี อันโตนอฟ เอกอัครราชทูตประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ได้รับคำเชิญให้เดินทางกลับมายังมอสโกเพื่อปรึกษาหารือและวิเคราะห์ว่าควรจะมีมาตรการอย่างไรต่อไป ในบริบทความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ” กระทรวงการต่างประเทศรัสเซียแถลง
เซียร์เก รยาบคอฟ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย บอกกับสื่อ RIA Novosti ว่า “หากความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซีย-อเมริกาเสื่อมทรามลงไปอีกหลังจากนี้ ก็เกิดจากสหรัฐฯ เป็นต้นเหตุ”
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ยืนยันกับเอเอฟพีว่า ทูตสหรัฐฯ จะยังคงปฏิบัติหน้าที่ในกรุงมอสโกต่อไป ด้วยความหวังว่าจะ “เปิดช่องทางการสื่อสาร” และ “ลดความเสี่ยงที่จะเกิดการเข้าใจผิดกัน”
ผู้สื่อข่าวยังได้ไปถาม เจน ซากี โฆษกทำเนียบขาวว่า ที่ ไบเดน กล่าวหา ปูติน เป็นฆาตกรนั้นมีความหมายนัยตรง หรือเพียงต้องการจะสื่อในเชิงเปรียบเทียบ
“ท่านประธานาธิบดีไม่ลังเลที่จะแสดงความกังวลในสิ่งที่เรามองว่าเป็นการกระทำอันประสงค์ร้ายและเป็นปัญหา” เธอกล่าว พร้อมอ้างถึงการที่รัสเซียแทรกแซงศึกเลือกตั้งสหรัฐฯ, วางยาพิษ นาวาลนี, โจมตีทางไซเบอร์ และตั้งค่าหัวทหารอเมริกันในอัฟกานิสถาน
ไบเดน บอกกับเอบีซีนิวส์ด้วยว่า ตนได้มีโอกาสได้พูดคุย “ยาวๆ” กับ ปูติน หลังจากที่สาบานตนเข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือน ม.ค.
“ผมบอกกับเขาว่า ผมรู้จักท่านดี และท่านก็รู้จักผมดีเช่นกัน ถ้าผมมั่นใจว่าเกิดเรื่องทำนองนี้ขึ้น ก็จงเตรียมตัวรับผลที่จะตามมา” ไบเดน กล่าว
ทั้งนี้ การออกมาปรามาส ปูติน ว่าเป็นฆาตกรตั้งแต่ต้นเทอมสะท้อนให้เห็นว่า จุดยืนของ ไบเดน นั้นแตกต่างโดยสิ้นเชิงจาก ทรัมป์ ที่ไม่เคยพูดจาว่าร้ายประธานาธิบดีรัสเซียตรงๆ ตลอดระยะเวลา 4 ปี
ทรัมป์ เองก็เคยโดนคำถามจากผู้สื่อข่าวฟ็อกซ์นิวส์เมื่อปี 2017 ว่ามอง ปูติน เป็นฆาตกรหรือไม่ ซึ่งตอนนั้นเขาให้คำตอบว่า “ฆาตกรมีเยอะแยะ... คุณคิดว่าประเทศเราไร้เดียงสานักหรือ?”
แม้จะออกมากล่าวหาแบบไม่ไว้หน้า แต่ ไบเดน ย้ำว่าตนกับ ปูติน “ยังสามารถทำงานร่วมกันได้ในสิ่งที่จะเป็นผลประโยชน์ร่วม”
“และนั่นคือเหตุผลที่ผมต่ออายุข้อตกลงนิวเคลียร์ START กับเขา”
วยาเชสลาฟ โวโลดิน ประธานสภาผู้แทนราษฎรรัสเซีย ออกมาตอบโต้คำพูดของผู้นำสหรัฐฯ โดยบอกว่า “ไบเดนกำลังดูหมิ่นพลเมืองรัสเซีย... การกล่าวโจมตี (ปูติน) ก็เท่ากับโจมตีประเทศของเราด้วย” ขณะที่ ดมิตรี เปสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลิน ก็วิจารณ์ข้อสรุปของสหรัฐฯ ที่เชื่อว่ารัสเซียพยายามโจมตีโครงข่ายการเลือกตั้งของอเมริกาในปี 2020 ว่าเป็นสิ่งที่ “ไม่มีมูล” และเป็นแค่ข้ออ้างเพื่อที่จะคว่ำบาตรรัสเซียเพิ่มเท่านั้น
ที่มา: เอเอฟพี