xs
xsm
sm
md
lg

เมื่อวิทยาศาสตร์ชี้ว่าคดีแม่ออสซี่ที่ศาลชี้ว่าฆ่าลูกสี่คน ตายเพราะยีนกลายพันธุ์ ระบบยุติธรรมจึงถูกท้าทาย จะไม่สงสารคนติดคุกฟรี 18 ปีหรือ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


แคทลีน โฟลบิกก์ คุณแม่ชาวออสเตรเลียถูกศาลพิพากษาว่ามีความผิดจริงในข้อหาฆ่าลูกวัยทารก 4 คน ภาพนี้ถูกบันทึกโดยปีเตอร์ เรอา ช่างภาพของเอเอพีสำนักข่าวแห่งชาติออสเตรเลีย ในห้องพิจารณาคดีเมื่อปี 2019 ซึ่งเป็นการขอไต่สวนความถูกต้องในการตัดสินคดี โดยฝ่ายสนับสนุนแคทลีนเสนอหลักฐานใหม่จากการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ว่าเด็กๆ ของบ้านโฟลบิกก์มีเหตุธรรมชาติที่สามารถอธิบายการเสียชีวิตแบบที่ไม่มีร่องรายการทำร้ายร่างกาย
“น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งที่หลักฐานทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์ถูกมองข้าม เพราะมีการให้ความสำคัญแก่หลักฐานแวดล้อมมากกว่า” ศาสตราจารย์ฟิโอนา สแตนลีย์ นักวิจัยด้านสุขภาพเด็กและสาธารณสุข ผู้มีผลงานเป็นที่ยอมรับนับถือมากมายในออสเตรเลีย ให้ความเห็นอย่างนั้น

ทั้งนี้ ศ.สแตนลีย์เป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์ซึ่งล้วนแต่มีชื่อเสียงจำนวน 90 ราย ที่ลงนามในหนังสือร้องเรียนไปยังผู้ว่าการรัฐนิวเซาท์เวลส์ ให้ทำการอภัยโทษและปล่อยตัวคุณแม่ชาวออสซี่วัย 53 ปี ผู้ซึ่งถูกจำคุกมาเนิ่นนานเกือบ 18 ปีหลังถูกตัดสินว่ามีความผิดข้อหาสังหารลูกวัยทารก 4 รายในต่างๆ กรรมและต่างๆ วาระ โดยหนังสือร้องเรียนยืนยันว่าผลการวิจัยชี้ว่าเด็กทั้งสี่มียีนกลายพันธุ์ที่เป็นปัจจัยซึ่งสามารถนำมาอธิบายสาเหตุการเสียชีวิตได้

คุณแม่ชาวออสซี่รายดังกล่าวคือ นางแคทลีน โฟลบิกก์ เธอสูญเสียบุตรและธิดาวัยทารก ในช่วงระหว่างปี 1989-1999 ได้แก่
ลูกชาย(เคลเลป) เสียชีวิต ณ วัยเพียง 19 วันเมื่อปี 1989
ลูกชาย(แพทริก) ณ วัย 8 เดือน เมื่อปี 1991
ลูกสาว(ซาราห์) ณ วัย 10 เดือน เมื่อปี 1993
ลูกสาว(ลอรา) ณ วัย 18 เดือน เมื่อปี 1999

ในขณะที่ศพของเด็กแต่ละคนไม่มีร่องรอยการถูกทำร้าย และแพทย์ผู้ชันสูตรศพแต่ละรายลงความเห็นในใบมรณบัตรว่าเป็นการตายตามธรรมชาติ เช่น การไหลตายในทารก (Cot death) และอาการลมชักซึ่งทำให้ร่างกายหมดสติและกล้ามเนื้อเกร็งจนไม่สามารถหายใจได้นั้น แต่แล้ว ในปี 2003 เกร็ก โฟลบิกก์ผู้เป็นสามีของแคทลีน พบไดอารี่จดบันทึกความทรงจำของเธอและนำส่งตำรว

เกร็ก โฟลบิกก์ อดีตสามีของแคทลีนและเป็นบิดาของเด็กๆ ทั้งสี่คน  ภาพนี้ที่เกร็กเดินอยู่กับแฟนสาวบันทึกภาพโดยช่างภาพเอเอพีขณะเดินทางมาฟังการไต่สวนคดีในปี 2003  ในสามปีต่อมา ได้ออกมาให้สัมภาษณ์แก่ซิดนีย์ มอร์นิ่ง เฮอร์รัลด์ ว่ามีลูกชายแล้ว ลูกแข็งแรงดีมาก ตัวเขาก็มีความสุขอย่างยิ่งที่ได้มีชีวิตใหม่ ภรรยาใหม่ และลูกคนใหม่สมความปรารถนา
ด้วยเหตุที่เนื้อหาในไดอารี่ดังกล่าวมีหลายช่วงตอนที่น่าตกใจ การไต่สวนดำเนินคดีนาน 7 สัปดาห์จึงเป็นไปในท่ามกลางการรายงานข่าวที่อื้อฉาวครึกโครมและสะเทือนขวัญผู้คน แคทลีนกลายเป็นที่เกลียดชังของสาธารณชน และเธอถูกตั้งฉายาว่า หญิงฆาตกรต่อเนื่องที่ร้ายกาจที่สุดของออสเตรเลีย

ในเดือนพฤษภาคม 2003 แคทลีนถูกผู้พิพากษาตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาฆาตกรรม โดยทำให้เด็กแต่ละคนหายใจไม่ได้ จนกระทั่งเด็กเสียชีวิต และต่อมาในเดือนตุลาคม เธอถูกกำหนดโทษจำคุก 40 ปี โดยต่อมา ได้รับการลดโทษเหลือ 25 ปี

นักวิจัยพิสูจน์ว่าเด็กๆ มียีนกลายพันธุ์ที่โยงกับการตายได้

เนื่องจากเด็กทั้ง 4 ราย เสียชีวิตโดยไม่มีร่องรอยว่าร่างกายถูกแตะต้องใดๆ ศาสตราจารย์คาโรลา บีนอยซา แห่งมหาวิทยาลัยออสเตรเลียน เนชั่นแนล ยูนิเวอร์ซิตี นักวิจัยที่มีผลงานโดดเด่นมากมาย จึงเห็นความเป็นไปได้บางอย่าง และได้นำ DNA ที่ดึงจากเลือดของเด็ก(ในแฟ้มประวัติตอนคลอดที่จัดทำโดยโรงพยาบาล) มาวิเคราะห์ และพบว่ารหัสพันธุกรรมภายในสาย DNA ที่เด็กๆ ได้รับจากมารดานั้น มีการกลายพันธุ์ ซึ่งเรื่องนี้ไม่เคยถูกพบเจอหรือรายงานเป็นหลักฐานมาก่อน โดยกลายพันธุ์ในยีน CALM2 ที่เรียกกันว่า G114R

ศาสตราจารย์คาโรลา บีนอยซา ผู้ซึ่งนำ DNA ที่ดึงจากเลือดของเด็กๆ ทั้งสี่คน (ในแฟ้มประวัติตอนคลอดที่จัดทำโดยโรงพยาบาล) มาวิเคราะห์ และพบว่ารหัสพันธุกรรมภายในสาย DNA ที่เด็กๆ ได้รับจากมารดานั้น มีการกลายพันธุ์ ซึ่งเชื่อมโยงกับการเสียชีวิตของเด็กๆ
ที่ผ่านมา มีการพบแล้วว่าการกลายพันธุ์ของยีนนี้เชื่อมโยงกับการเสียชีวิตด้วยภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน หรือ Sudden Cardiac Death (SCD)

ศ.บีนอยซารายงานว่าพบการกลายพันธุ์ดังกล่าวซึ่งเป็นกรณีที่หายาก ได้ปรากฏในกรณีของซาราห์และลอรา โดยในการชันสูตรศพลอรานั้น มีสิ่งชี้บ่งถึงอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบด้วย ในการนี้ บีนอยซา นักวิจัยผู้ทรงเกียรติภูมิ เชื่อนี่ว่าเป็นสาเหตุของการตายในซาราห์ และลอรา โดยมีการเขียนเผยแพร่ด้วยว่าคณะผู้วิจัยสรุปร่วมกันว่าการกลายพันธุ์ของ CALM2 “อาจส่งผลให้เกิดการเสียชีวิตด้วยเหตุอันเป็นธรรมชาติในเด็กหญิงสองคนของบ้านโฟลบิกก์ โดยการเปลี่ยนจังหวะเต้นของหัวใจ

การกลายพันธุ์เกิดขึ้นในเด็กชาย 2 คนคือ เคลเลปและแพทริกด้วย โดยเป็นการกลายพันธุ์ที่หายากเช่นกัน แต่แตกต่างจากซาราห์และลอรา คือ การกลายพันธุ์นี้เกิดในยีน BSN ซึ่งจากการทดลองในหนูพบว่ามีความเชื่อมโยงกับอาการลมชักที่รุนแรงถึงตายได้


ทั้งนี้ แพทริกถูกตรวจพบว่ามีโรคลมชักตั้งแต่ที่เขายังอยู่ในท้องแม่ ส่วนเคลเลปนั้นมีอาการกระดูกกล่องเสียงอ่อนยวบ ทำให้มีปัญหาหายใจติดขัดและหายใจกรนดัง

ศ.บีนอยซาเสนอข้อสรุปอย่างชัดเจนว่าในกรณีของเด็กๆ โฟลบิกก์ทั้งสี่ราย มีหลักฐานการชันสูตรศพและหลักฐานเชิงการแพทย์ ที่ชี้ไปถึงการเสียชีวิตด้วยสาเหตุตามธรรมชาติ

ฝ่ายวิทยาศาสตร์เสนอผลการค้นพบที่ชี้ว่าแคทลีนเป็นผู้บริสุทธิ์

ดังนั้นในเดือนสิงหาคม 2018 ฝ่ายสนับสนุนแคทลีน โฟลบิกก์ นำโดยเทรซี่ แชปแมน เพื่อนสนิทของแคทลีนตั้งแต่วัยเรียน ได้ยื่นหนังสือร้องเรียนขอให้มีการไต่สวนความถูกต้องในการตัดสินคดี โดยเสนอหลักฐานใหม่จากการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ว่าเด็กๆ ของบ้านโฟลบิกก์อาจเสียชีวิตด้วยเหตุธรรมชาติ

ทั้งนี้ ในเดือนพฤษภาคม 2019 ซึ่งการไต่สวนฯ ยังไม่จบลงนั้น ได้มีรายงานการค้นพบว่ามีเด็กอเมริกัน 2 ราย เสียชีวิตจากปัญหายีนกลายพันธุ์แบบที่พบในซาราห์และลอรา กระนั้นก็ตาม ดูเหมือนว่าคณะผู้ไต่สวนมิได้นำสาระสำคัญของการค้นพบนี้ไปประกอบการพิจารณา

ในการนี้เว็บไซต์ข่าวเดลี่เมล์ ออสเตรเลีย รายงานว่าการไต่สวนความถูกต้องในการตัดสินคดี ได้ยุติลงในเดือนกรกฎาคม 2019 โดยที่ว่ากระบวนการพิสูจน์ข้อค้นพบของทีมวิจัย ที่เรียกว่า Peer-review ซึ่งให้ทีมวิจัยอื่นทำการทำลองแบบเดียวกันว่าจะได้ผลตรงกันหรือไม่นั้น ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ผลการไต่สวนจึงออกมาว่าการพิพากษาให้แคทลีน โฟลบิกก์มีความผิดจริง เมื่อปี 2003 นั้น ไม่มีข้อน่าสงสัยใดๆ โดยมีการระบุว่าการพิสูจน์ความแม่นยำในการค้นพบเรื่องยีนกลายพันธุ์ไม่สามารถเสร็จสมบูรณ์ได้ทันก่อนที่การไต่สวนจะยุติลง

ในที่สุดการพิสูจน์ความถูกต้องแม่นยำในเรื่องยีนกลายพันธุ์ที่เชื่อมโยงกับการเสียชีวิตของซาราห์และลอราก็ได้รับการยืนยันในวงการวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลกเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2020

ดังนั้น ในวันที่ 3 มีนาคม ที่ผ่านมา (2021) ผู้เชี่ยวชาญทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์ซึ่งล้วนแต่มีชื่อเสียงระดับโลกและระดับประเทศจำนวน 90 ราย ได้ร่วมกันลงนามในหนังสือร้องเรียนไปยังผู้ว่าการรัฐนิวเซาท์เวลส์ เพื่อให้ทำการอภัยโทษและปล่อยตัวคุณแม่ชาวออสเตรเลียวัย 53 ปีซึ่งมิได้กระทำความผิด แต่ต้องจำคุกมาแล้วเกือบ 18 ปีเต็ม ทั้งนี้ ในจำนวนบุคคลสำคัญที่หมดนั้น มีสองรายที่มีเกียรติคุณระดับที่ได้รับรางวัลโนเบล และมีสองรายที่ได้รับยกย่องเป็นบุคคลแห่งปีของออสเตรเลีย นอกจากนั้น ในจำนวน 90 ผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นชาวต่างชาติมากถึง 14 รายด้วย

แคทลีนกับลอรา โฟลบิกก์ ที่บันทึกภาพกันภายในครอบครัวเมื่อปี 1997
ศาลออสซี่ใช้หลักฐานแวดล้อมตัดสินคดีโฟลบิกก์

ในการร้องเรียนคัดค้านคำพิพากษาคดีโฟลบิกก์มีการระบุว่าข้อสรุปจากการไต่สวนความถูกต้องในการตัดสินคดีที่ยุติลงในเดือนกรกฎาคม 2019 โดยยืนยันว่าแคทลีน โฟลบิกก์สังหารลูกทั้ง 4 คนนั้น ขัดแย้งกับหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และหลักฐานทางการแพทย์

‘ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญซึ่งทรงคุณวุฒิอย่างสูงได้แสดงให้เห็นแล้วว่าการเสียชีวิตของเด็กทั้งสี่คนมาจากสาเหตุตามธรรมชาติ และไม่ปรากฏหลักฐานการทำให้เด็กรายใดเสียชีวิตด้วยการปิดกั้นลมหายใจเลย’ หนังสือร้องเรียนระบุอย่างนั้น และชี้ด้วยว่า

‘ท่านผู้ว่าการรัฐน่าจะไม่มีข้อสงสัยว่าการดำเนินคดีเล่นงานแคทลีน โฟลบิกก์ ล้วนใช้แต่หลักฐานแวดล้อม บนประเด็นว่าแนวโน้มที่เด็กสี่คนจากครอบครัวเดียวกันจะเสียชีวิตเพราะสาเหตุตามธรรมชาตินั้นไม่น่าจะเป็นไปได้

‘ดังนั้น หลักฐานทางการแพทย์และทางวิทยาศาสตร์จึงถูกปฏิเสธ โดยไปให้น้ำหนักแก่การตีความข้อเขียนบันทึกความจำของนางโฟลบิกก์ซึ่งเต็มไปด้วยความเคลือบคลุม และไม่มีข้อเขียนจุดใดที่ยอมรับว่ามีการกระทำความผิด’

แคทลีนกับลูกในช่วงที่ยังมีชีวิตสมบูรณ์เปี่ยมสุข
ข้อความในไดอารีน่าตกใจ แต่มิได้ระบุว่าแคทลีน“สังหาร”ลูก

ข้อเขียนในไดอารีบันทึกความจำของแคทลีน โฟลบิกก์ เริ่มในช่วงที่ลอราถือกำเนิดขึ้นแล้ว

“ฉันตะโกนใส่ลูกอย่างโกรธจัด ลูกกลัวมาก แต่ลูกไม่หยุดร้องไห้ สถานการณ์ตอนนั้นเลวร้ายมาก ฉันแทบจะอยากทิ้งลูกลงไปบนพื้นแล้วเดินหนี ฉันระงับใจไว้ได้มากเพียงพอที่จะวางลูกลงไป แล้วเดินหนีไปสงบสติอารมณ์ในห้อง โดยปล่อยให้ลูกร้องไห้ไป”

“เวลาคงจะผ่านไปสักห้านาที แต่ฉันรู้สึกเหมือนเนิ่นนานชั่วชีวิต ฉันรู้สึกว่าตนเองเป็นแม่ที่แย่ที่สุดในโลก ทำให้ลูกกลัวมากแล้วลูกจะหนีฉันไป เหมือนที่ซาราห์เคยหนีฉันไปแล้ว ฉันรู้ว่าตนเองเจ้าโทสะ และบางครั้งก็โหดร้ายใส่ซาราห์ ซาราห์ถึงหนีฉันไป โดยมีความช่วยเหลือนิดหนึ่ง”

แคทลีนจดถ้อยคำเหล่านี้เมื่อวันที่ 28 มกราคม 1998 โดยไม่ก่อนหน้านั้นหลายสัปดาห์ คือในวันก่อนวันปีใหม่ แคทลีนเขียนในลักษณะล้อเลียนการตายของซาราห์ดังนี้

“ลูก (ลอรา) เป็นทารกที่มีธรรมชาติดีค่อนข้างมาก ขอบคุณพระเจ้า นี่จะช่วยรักษาเธอไว้จากชะตากรรมของพี่สาว ฉันคิดว่าลูกคงได้รับคำเตือนมาก่อน”

“คิดดูแล้วฉันรับมือกับการที่ลอราร้องไห้จนชักได้ดีกว่าที่ฉันทำกับซาราห์ - ฉันสรุปบทเรียนมาว่าให้เดินหนีออกมาก่อน มาหายใจเรียกสติ มันช่วยให้ฉันรับมือกับสถานการณ์ได้ และคิดออกว่าจะช่วยลูกอย่างไร” แคทลีนบรรยายไว้ในบันทึก

“กับซาราห์แล้ว ทั้งหมดที่ฉันต้องการคือ ให้ลูกเงียบเสียที แล้วในวันหนึ่ง ลูกก็ได้เงียบเสียงไป”

แคทลีนเปิดใจอธิบายปมน่าสงสัยเหล่านี้ในปี 2018 ว่า

“ไดอารีเหล่านี้ถูกเขียนขึ้นจากมุมของฉันที่คอยแต่จะตำหนิตนเอง

“ฉันตำหนิตนเองในทุกสิ่ง ฉันแบกความรู้สึกรับผิดชอบมากเหลือเกิน ซึ่งเป็นสิ่งที่คนเราที่เป็นแม่จะทำ”

ทั้งนี้ เดอะการ์เดียนรายงานว่าแคทลีนเชื่อว่าพลังงานเหนือธรรมชาติเป็นผู้ที่พรากเด็กๆ ไปจากเธอ

บัณฑิตยสภาทางวิทยาศาสตร์แห่งออสเตรเลีย นำเสนอภาพของแคทลีนและลูกๆ ที่สี่คน ซึ่งเรียงภาพตามลำดับอาวุโส ได้แก่ เคลเลป แพทริก ซาราห์ และลอรา
เมื่อข้อค้นพบทางวิทยาศาสตร์มีหลักเหตุและผลเป็นระบบ คำพิพากษาที่ฟันธงไปแล้วด้วยหลักฐานแวดล้อม ‘ย่อมถูกท้าทายอย่างร้ายแรง’

ขณะที่ฝ่ายนักวิทยาศาสตร์และนักการแพทย์พิสูจน์ให้เห็นปัจจัยที่สามารถเป็นสาเหตุตามธรรมชาติในการเสียชีวิตของเด็กๆ บ้านโฟลบิกก์ โดยใช้ระเบียบวิธีดำเนินการอันมีมาตรฐานสากลรองรับ ฝ่ายนี้ซึ่งประจักษ์ใจว่ามารดาของเด็กทั้งสี่คนมิได้เป็นผู้สังหารลูก ก็ย่อมปรารถนาที่จะเห็นการแก้ไขสิ่งผิดและอยากจะเร่งช่วยเหลือมารดาที่ทนทุกข์ทรมานจากการถูกกุมขังฟรีต่อเนื่องราว 18 ปี โดยเห็นแก่มนุษยธรรม

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การได้เห็นฝ่ายตุลาการปฏิเสธที่จะยอมรับข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ ในคราวที่จัดการไต่สวนเมื่อปี 2019 และส่งผลให้แคทลีนไม่ได้รับอิสรภาพ

การรุกคืบของฝ่ายนักวิทยาศาสตร์จึงจริงจังและตรงไปตรงมาอย่างชนิดที่ไม่เห็นแก่หน้าค่าชื่อของบุคลากรฝ่ายตุลาการ

แรงกดดันจึงเกิดขึ้นกับฝ่ายตุลาการ ซึ่งต้องรักษาความเชื่อมั่นที่สาธารณชนมีต่อกระบวนการดำเนินคดีและพิพากษา

แรงกดดันเหล่านี้ปะทุขึ้นหลังจากที่มีหลายคดีที่ศาลออสเตรเลียต้องกลับคำพิพากษา อาทิ คดีที่ลินดี แชมเบอร์เลนได้รับการอภัยโทษในปี 1987 หลังถูกศาลออสเตรเลียพิพากษาว่าสังหารทารกอัซซาเรียวัย 9 เดือนขณะตั้งแคมป์ที่อูลูรูเมื่อปี 1982 แต่การพิจารณาคดีตามหลักฐานการชันสูตรศพในภายหลัง พบว่าทารกน้อยเสียชีวิตเพราะสุนัขป่า

แคทลีนและเกร็กในงานฉลองสมรสเมื่อปี 1987  บันทึกความทรงจำต่างๆ ของแคทลีนแสดงให้เห็นถึงความรักอันมหาศาลที่มีให้แก่เกร็ก ซึ่งอาจเป็นผลจากการที่แคทลีนไม่ได้เติบโตมากับบิดา แต่ได้รับการเลี้ยงดูจากครอบครัวอุปถัมภ์ เนื่องจากบิดาถูกจำคุกหลังจากบันดาลโทสะแทงภรรยาซึ่งเป็นมารดาของแคทลีน รวมยี่สิบกว่าแผล จนกระทั่งภรรยาเสียชีวิต ทั้งนี้ การที่แคทลีนมีภูมิหลังเกี่ยวกับบิดาดังกล่าวนี้ ได้กลายเป็นหลักฐานแวดล้อมประการหนึ่งที่มีผลเสียต่อรูปคดีของแคทลีน
ผู้ว่าการรัฐมีหน้าที่ตัดสินให้ความเป็นธรรม

เนื่องจากกระบวนการอุทธรณ์จะต้องใช้เวลานานเป็นหลายปีกว่าจะยุติ ซึ่งทุกวันที่ผ่านไปหมายถึงความทุกข์ตรมอันไม่เป็นธรรมที่แคทลีน โฟลบิกก์ต้องแบกรับอยู่หลังตะราง ผู้เชี่ยวชาญทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์ซึ่งล้วนแต่มีชื่อเสียงระดับโลกและระดับประเทศจำนวน 90 ราย จึงร่วมกันลงนามเรียกร้องให้ผู้ว่าการรัฐนิวเซาท์เวลส์ใช้วิธีให้อภัยโทษ ซึ่งจะส่งผลให้มีการคืนอิสรภาพแก่แคทลีนได้โดยเร็ว

ในการร้องเรียนเพื่อคัดค้านคำพิพากษาคดีโฟลบิกก์ ได้ร้องขอความเมตตาที่สำคัญอย่างยิ่งว่า

“แคทลีน โฟลบิกก์ต้องทุกข์ตรมกับการตายของลูกถึงสี่คน และยังถูกกุมขังอย่างไม่ถูกต้องเนื่องจากระบบยุติธรรมไม่สามารถให้ความเป็นธรรมแก่เธอ เราทุกคนที่ร่วมลงนามในหนังสือนี้ขอให้เธอได้รับอภัยโทษและการปล่อยตัวโดยทันที”

ผู้ว่าการรัฐนิวเซาท์เวลส์มีหน้าที่ในการประสานงานเพื่อให้แคทลีน โฟลบิกก์ได้รับอภัยโทษเพื่อเห็นแก่ความยุติธรรม สิทธิมนุษยชน และคำพิพากษาในคดีก่อนๆ ซึ่งเป็นบรรทัดฐานให้แก่การตัดสินคดีอื่นๆ ที่ตามหลังมา คำร้องเรียนระบุ

“สิทธิพิเศษข้อนี้ของฝ่ายบริหารเพื่อเห็นแก่ความเมตตา ถูกออกแบบมาในอันที่ช่วยแก้ปัญหาที่เกิดจากความล้มเหลวในกระบวนการยุติธรรมเช่นที่กำลังเกิดขึ้นในกรณีนี้” คำร้องเรียนสรุปไว้อย่างนั้น

เทรซี่ แชปแมน เพื่อนแสนดีของแคทลีน โฟลบิกก์ (ในภาพ) บอกว่าแคทลีนซึ่งบอบช้ำอยู่ในคุกมาอย่างยาวนาน ยังมีความมุ่งมั่นที่จะต่อสู้เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตน ทั้งนี้ เทรซี่บอกว่าเมื่อแคทลีนได้รับอิสรภาพ เธอจะมาใช้ชีวิตอยู่กับเทรซี่ ซึ่งเป็นเพียงคนเดียวที่แคทลีนเหลืออยู่ในโลกนี้
โดย รัศมี มีเรื่องเล่า

(ที่มา:
ออสเตรเลีย แอสโซซิเอท เพรส หรือ เอเอพี - บัณฑิตยสภาทางวิทยาศาสตร์แห่งออสเตรเลีย - เดลี่เมล์ ออสเตรเลีย - เดอะการ์เดียน - ซิดนีย์ มอร์นิ่ง เฮอร์รัลด์ - วิกิพีเดีย)

กำลังโหลดความคิดเห็น