เอเจนซีส์ – รัฐบาลสหรัฐฯของประธานาธิบดี โจ ไบเดน ออกคำสั่งสำนักงานจัดการภัยพิบัติแห่งชาติสหรัฐฯ FEMA เข้าไปดูแลสถานการณ์ผู้อพยพเด็กที่เดินทางตามลำพังเข้าสู่พรมแดนสหรัฐฯจากฝั่งเม็กซิโกหลายร้อยคนต่อวัน สร้างความปวดหัวให้กับรัฐบาลสหรัฐฯชุดใหม่เป็นอันมาก
เดลีบีสต์ สื่อสหรัฐฯรายงานเมื่อวานนี้(13 มี.ค)ว่า ศูนย์ควบคุมผู้อพยพเด็กตลอดฝั่งพรมแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโกกำลังใกล้จุดที่จะแบกรับต่อไปไม่ได้ท่ามกลางความกดดันจากหลายฝ่ายที่ต้องการให้รัฐบาลสหรัฐฯชุดเดโมแครตจัดการแก้ปัญหานี้
ประธานาธิบดี โจ ไบเดนออกคำสั่งให้สำนักงานจัดการภัยพิบัติแห่งชาติสหรัฐฯ FEMA ส่งกำลังเจ้าหน้าที่ไปยังพรมแดนทางใต้ติดเม็กซิโกเพื่อจัดการคลื่นผู้อพยพเด็กและวัยรุ่นที่เดินทางจากละตินอเมริกาเข้าสู่สหรัฐฯร่วมหลายร้อยคนในแต่ละวัน
รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงมาตุภูมิสหรัฐฯ DHSที่เป็นอเมริกันเชื้อสายคิวบาคนแรก อเลฮานโดร มายอร์คัส (Alejandro Mayorkas)ได้กล่าวถึงแผนว่า เป็นนโยบายวงกว้างระยะ 90 วันในการที่รับตัว ให้ที่พักพิง และส่งตัวผู้อพยพเด็กที่ไม่ได้มาพร้อมกับผู้ปกครองไปยังพรมแดนทางตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐฯ”
ซึ่ง FEMA จะบรรเทาความแน่นขนัดของศูนย์ควบคุมตัวเด็กบริเวณพรมแดนที่มีอยู่เดิมตลอดแนวพรมแดนด้วยการตั้ง “สิ่งปลูกสร้างอ่อน” (soft-sided structures) เพื่อให้เป็นที่พักพิงชั่วคราว
มายอร์คัสชี้ว่าในเวลานี้ทาง FEMA กำลังตรวจสอบจำนวนผู้อพยพทั้งหมดรวมไปถึงผู้อพยพเด็กที่เดินทางมาลำพังที่พรมแดนทางตะวันตกเฉียงใต้ โดยในเวลานี้มีผู้อพยพผู้เยาว์จำนวน 4,000 คนอยู่ในการควบคุมของทางกระทรวง DHS และอีก 8,500 คนอยู่ในการควบคุมของกระทรวงสาธารณสุขสหรัฐฯ HHSซึ่งศูนย์ควบคุมในตะวันตกเฉียงใต้ของรัฐเทกซัสและศูนย์พักพิงที่ถูกสร้างด้วยเตนท์ในฝั่งเม็กซิโกกำลังใกล้จุดเกินที่จะแบกรับได้เช่นกัน
ทั้งนี้พบว่าเจ้าหน้าที่กระทรวง DHS เดือนกุมภาพันธ์สามารถจับกุมผู้อพยพลักลอบเข้าเมืองได้กว่า 100,000 คน และในเดือนนี้ดูเหมือนว่าจะสามารถจับกุมกลุ่มเข้าเมืองได้มากกว่านี้ ด้านสำนักงานศุลกากรและควบคุมพรมแดนสหรัฐฯ (Customs and Border Patrol) ชี้ว่าทางหน่วยงานกำลังตกที่นั่งลำบากจากการที่ทางหน่วยงานต้องนำเด็กผู้อพยพเข้ามาดูแลที่ศูนย์พรมแดนจำนวนมากขึ้นในกุมภาพันธ์ปีนี้เป็นจำนวนมากกว่าที่เคยมีมาภายในช่วงเกือบ 2 ปีก่อนหน้าในสมัยอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์
คำสั่งของไบเดนในการส่ง FEMA เข้าจัดการคลื่นผู้อพยพเด็กเกิดขึ้น 1 สัปดาห์หลังจากมีคนจากรัฐบาลสหรัฐฯเดินทางจากกรุงวอชิงตัน ดีซี ไปที่พรมแดนทางใต้เพื่อดูสถานการณ์ด้วยตัวเอง
ประธานาธิบดีไบเดนได้สั่งให้ยุติคำสั่งในสมัยทรัมป์ที่ให้ขับผู้อพยพเด็กเดินทางเข้าสหรัฐฯลำพัง แต่ยังคงแยกครอบครัวผู้อพยพและผู้ใหญ่ที่เดินทางมาลำพัง
ซึ่งขณะที่รัฐบาลสหรัฐฯของไบเดนพยายามที่จะห้ามการอพยพเข้าประเทศ แต่มีหลายฝ่ายเชื่อว่าคนเหล่านี้มีโอกาสดีกว่าในรัฐบาลของไบเดน
มีรายงานเกิดขึ้นว่า เป็นกระแสความนิยมที่บรรดาผู้ปกครองยังคงอยู่ในฝั่งเม็กซิโกและละตินอเมริกาแต่ส่งให้ลูกหลานของตัวเองเข้ามาแสวงหาชีวิตที่ดีกว่าในสหรัฐฯ