เอพี – "เอฟดีเอ" อนุญาตให้ใช้วัคซีนของ “จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน” ที่มีประสิทธิภาพสูงตั้งแต่เข็มแรกเป็นกรณีฉุกเฉิน นับเป็นวัคซีนโควิด-19 ตัวที่ 3 ที่ได้รับอนุมัติให้ใช้ในอเมริกา
สำนักงานอาหารและยาสหรัฐฯ (เอฟดีเอ) ระบุว่า จากการศึกษาขนาดใหญ่ใน 3 ภูมิภาคพบว่า วัคซีนเจแอนด์เจให้การปกป้องอาการป่วยรุนแรงที่สุดจากโควิดถึง 85% ในโดสเดียว แม้แต่ในแอฟริกาใต้ที่ไวรัสกลายพันธุ์ที่น่ากังวลที่สุดกำลังระบาดอยู่ก็ตาม
ในระยะแรกนั้นเจแอนด์เจสามารถเริ่มจัดส่งวัคซีนให้รัฐต่างๆ อย่างเร็วที่สุด 2-3 ล้านโดสตั้งแต่วันจันทร์ (1 มี.ค.) และคาดว่า จะเพิ่มเป็น 20 ล้านโดสสิ้นเดือนนี้และ 100 ล้านโดสในฤดูร้อน
เจแอนด์เจกำลังขออนุญาตใช้วัคซีนเป็นกรณีฉุกเฉินในยุโรปและจากองค์การอนามัยโลก (WHO) โดยบริษัทตั้งเป้าผลิตวัคซีนราว 1,000 ล้านโดสทั่วโลกปลายปีนี้ และวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (25) บาห์เรนเป็นชาติแรกที่อนุมัติวัคซีนของบริษัทอเมริกันแห่งนี้
ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แถลงว่า คำประกาศนี้ถือเป็นข่าวที่น่าตื่นเต้นยินดีสำหรับชาวอเมริกันทุกคนและเป็นพัฒนาการแง่บวกในการพยายามยุติวิกฤตไวรัส กระนั้น การต่อสู้จะยังไม่จบลงเร็วๆ นี้และทุกคนยังต้องสวมหน้ากากและปฏิบัติตามมาตรการป้องกันอื่นๆ ต่อไป
วันอาทิตย์ (28 ก.พ.) คณะกรรมการที่ปรึกษาของเอฟดีเอจะประชุมกันเพื่อกำหนดข้อเสนอแนะว่า ควรใช้วัคซีนเจแอนด์เจโดสเดียวอย่างไร รวมทั้งตอบคำถามที่คนจำนวนมากอยากรู้ว่า วัคซีนตัวใดดีกว่ากัน
ดร.อาร์โนลด์ มอนโต จากมหาวิทยาลัยมิชิแกนและประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาของเอฟดีเอที่อนุมัติอย่างเป็นเอกฉันท์เมื่อวันศุกร์ (26 ก.พ.) ว่า วัคซีนเจแอนด์เจมีประสิทธิภาพมากกว่าความเสี่ยงนั้น กล่าวว่า ในสถานการณ์ปัจจุบัน ไม่ว่าวัคซีนตัวใดที่ได้รับอนุมัติก็ควรฉีดทั้งนั้น
ข้อมูลที่มีทั้งดีและลบเกี่ยวกับวัคซีนที่ใช้อยู่ทั่วโลกขณะนี้ ทำให้ประชาชนในบางประเทศลังเลที่จะฉีดวัคซีนที่มีอยู่และตัดสินใจรอวัคซีนตัวอื่นแทน
ในอเมริกา วัคซีนที่ได้รับอนุมัติก่อนหน้านี้ 2 ตัวคือของไฟเซอร์และโมเดอร์นามีประสิทธิภาพป้องกันโควิด-19 แบบแสดงอาการ 95%
ขณะที่วัคซีนเจแอนด์เจโดสเดียวมีประสิทธิภาพป้องกันอาการป่วยรุนแรง 85% และลดเหลือ 66% สำหรับอาการป่วยปานกลาง กระนั้น วัคซีนแต่ละตัวไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้เนื่องจากแต่ละบริษัททำการทดลองในต่างสถานที่และต่างเวลา โดยไฟเซอร์และโมเดอร์นาเสร็จสิ้นการวิจัยก่อนที่ไวรัสกลายพันธุ์จะเริ่มระบาด
เอฟดีเอตั้งข้อสังเกตว่า ยังเร็วเกินไปที่จะบอกได้ว่า คนที่ป่วยเล็กน้อยหรือไม่แสดงอาการจะยังสามารถแพร่เชื้อได้หรือไม่หากได้รับวัคซีน
อย่างไรก็ดี ข้อดีอย่างชัดเจนของวัคซีนเจแอนด์เจนอกเหนือจากการฉีดแค่โดสเดียวคือ จัดการง่าย มีอายุนานถึง 3 เดือนโดยเก็บรักษาในตู้เย็น ขณะที่วัคซีนไฟเซอร์และโมเดอร์นาต้องแช่แข็ง
นอกจากนั้นเอฟดีเอสำทับว่า การศึกษาวัคซีนเจแอนด์เจไม่พบผลข้างเคียงร้ายแรงใดๆ นอกจากปวดบริเวณที่ฉีดซึ่งเป็นเรื่องปกติสำหรับวัคซีนโควิด และอาการคล้ายมีไข้ อ่อนเพลีย และปวดศีรษะ และมี “โอกาสน้อยมาก” ที่ผู้ฉีดจะมีอาการแพ้รุนแรง ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่พบได้แต่น้อยมากสำหรับวัคซีนไฟเซอร์และโมเดอร์นา อีกทั้งสามารถรักษาได้ ดังนั้น ผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนจึงยังต้องให้แพทย์เฝ้าดูอาการในช่วงสั้นๆ ก่อน
วัคซีนเจแอนด์เจได้รับอนุญาตให้ใช้ฉุกเฉินในผู้ใหญ่อายุ 18 ปีขึ้นไป และบริษัทกำลังศึกษาว่า วัคซีนใช้ได้ผลในวัยรุ่นหรือไม่ ก่อนเริ่มทำการศึกษากับเด็กปลายปีนี้ และบริษัทยังมีแผนศึกษาในกลุ่มสตรีมีครรภ์ด้วย
วัคซีนโควิด-19 ทุกตัวจะทำให้ร่างกายรับรู้ไวรัสโคโรนาด้วยการระบุโปรตีนสไปค์ที่ห่อหุ้มไวรัส แต่วัคซีนแต่ละตัวใช้วิธีพัฒนาต่างกัน สำหรับเจแอนด์เจนั้นใช้ไวรัสที่ทำให้เกิดโรคหวัดเป็นม้าโทรจันนำสไปค์ยีนเข้าสู่ร่างกาย และกระตุ้นเซลล์ในร่างกายผลิตโปรตีนดังกล่าวเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันไวรัสโคโรนา ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเดียวกับที่บริษัทใช้ผลิตวัคซีนอีโบลา และวัคซีนโควิดของแอสตราเซเนกาและแคนซิโน ไบโอโลจิกส์ของจีน
ส่วนวัคซีนไฟเซอร์และโมเดอร์นาใช้เทคโนโลยีรหัสพันธุกรรมที่เรียกว่า เมสเซนเจอร์ อาร์เอ็นเอ ที่กระตุ้นให้เซลล์ในร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันไวรัสโคโรนา