วัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่ผลิตโดยไฟเซอร์/ไบโอเอ็นเทคล็อตแรกจะถูกส่งถึงมาเลเซียในวันที่ 21 ก.พ. และรัฐบาลจะเริ่มโครงการฉีดวัคซีนในอีก 5 วันหลังจากนั้น โดยกำหนดเป้าหมายสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ประชากรอย่างน้อย 80% จากทั้งหมด 32 ล้านคนภายในระยะเวลา 1 ปี เพื่อเร่งกระบวนการฟื้นฟูเศรษฐกิจ
มาเลเซียมียอดผู้ติดเชื้อสะสมราว 260,000 คน มากเป็นอันดับ 3 ในอาเซียนรองจากอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ และมีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ไปแล้ว 975 คน
“การฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมประชากรส่วนใหญ่เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ จะช่วยให้เราสามารถยับยั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19 และยุติโรคระบาดครั้งนี้ลงได้” นายกรัฐมนตรี มูห์ยิดดิน ยัสซิน แถลงระหว่างเปิดตัวคู่มือการฉีดวัคซีนวันนี้ (16 ก.พ.)
ผู้นำเสือเหลืองยืนยันจะเป็น “คนแรก” ที่เข้ารับวัคซีนของไฟเซอร์ในวันที่ 26 ก.พ. นี้
รัฐบาลมาเลเซียยังสั่งซื้อวัคซีนจากผู้ผลิตรายอื่นๆ ด้วย เช่น บริษัท แอสตราเซเนกา ของอังกฤษ, สถาบันวิจัยกามาเลยาของรัสเซีย รวมถึง ซิโนแวค ไบโอเทค และ แคนซิโน ไบโอโลจิกส์ ของจีน
อย่างไรก็ดี ขณะนี้ยังมีเพียงวัคซีนของไฟเซอร์เพียงตัวเดียวที่ได้รับอนุญาตใช้งานในมาเลเซียแล้ว ส่วนที่เหลือยังต้องรอการอนุมัติจากหน่วยงานด้านอาหารและยา
สำหรับโครงการฉีดวัคซีนเฟสแรกจะมีขึ้นในช่วงเดือน ก.พ.-เม.ย. โดยจะฉีดให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ 300,000 คน และเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นแนวหน้าต่อสู้โควิด-19 อีกประมาณ 200,000 คน รวมถึงนักการเมือง, เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง และเจ้าหน้าที่ฝ่ายสวัสดิการของรัฐส่วนเฟสที่ 2 ซึ่งจะเริ่มในช่วงเดือน เม.ย.-ส.ค. จะเป็นการฉีดให้แก่ประชากรกลุ่มเสี่ยง
คณะรัฐมนตรีมาเลเซียยังเห็นชอบให้มีการจัดเตรียมระบบจ่ายเงินชดเชยให้แก่ผู้ที่รับวัคซีนไปแล้วเกิดผลข้างเคียงรุนแรง
“เราได้กำหนดแนวทางปฏิบัติไว้สำหรับกรณีที่วัคซีนมีมากเกินความต้องการ โดยจะฉีดให้แก่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและอาสาสมัครตามศูนย์ (แจกจ่ายวัคซีน) ต่างๆ ดังนั้นจึงไม่ต้องกลัวว่าจะเสียเปล่า” คอยรี จามาลุดดิน รัฐมนตรีกระทรวงวิทยาศาสตร์มาเลเซีย แถลง
ที่มา: รอยเตอร์