เอเจนซีส์ - วุฒิสมาชิกสหรัฐฯ โหวตให้ทรัมป์พ้นข้อกล่าวหากรณีปลุกม็อบบุกสภาตามคาด กระนั้น ผู้นำเสียงข้างน้อยของรีพับลิกันในสภาสูงฟันธงทรัมป์มีความรับผิดชอบทั้งในทางปฏิบัติและศีลธรรมในเหตุการณ์ดังกล่าวซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 5 คน
เมื่อวันเสาร์ (13 ก.พ.) วุฒิสมาชิกลงมติด้วยคะแนน 57-43 ซึ่งไม่ถึง 2 ใน 3 ที่จำเป็นสำหรับการเอาผิดอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในข้อหายุยงปลุกปั่นให้เกิดการจลาจล หลังจากการไต่สวนนาน 5 วันในอาคารรัฐสภา ซึ่งเป็นที่เกิดเหตุการณ์เหล่าผู้สนับสนุนทรัมป์บุกโจมตีเมื่อวันที่ 6 มกราคม หลังฟังคำปราศรัยยั่วยุจากอดีตพิธีกรเรียลลิตี้โชว์ที่ผันตัวมาเล่นการเมืองผู้นี้
ในการลงมติ มีวุฒิสมาชิกรีพับลิกัน 7 คนร่วมโหวตกับวุฒิสมาชิกเดโมแครตทั้ง 50 คนให้ลงโทษทรัมป์
แม้ทรัมป์พ้นจากตำแหน่งไปแล้วตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม แต่เดโมแครตหวังว่า คำสั่งถอดถอนจากความผิดในการยั่วยุกองเชียร์บุกสภาจนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 5 คน ซึ่งในจำนวนนี้รวมถึงตำรวจ 1 นายนั้น จะขัดขวางไม่ให้ทรัมป์ลงเลือกตั้งได้อีก เนื่องจากเชื่อว่า หากได้รับเลือกตั้งในอนาคต ทรัมป์จะไม่ลังเลที่จะสนับสนุนให้เกิดความรุนแรงทางการเมืองอีก
ทั้งนี้ ระหว่างการไต่สวน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคเดโมแครตที่ทำหน้าที่อัยการ ได้เปิดคลิปเหตุการณ์ม็อบทุกสภาและขู่ทำร้ายนักการเมือง ซึ่งรวมถึงแนนซี เปโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคเดโมแครต และไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีในขณะนั้น พร้อมระบุว่า ทรัมป์เป็นคนระดมผู้สนับสนุนให้ไปรวมตัวกันที่วอชิงตันในวันดังกล่าว ซึ่งคองเกรสส์จะลงมติรับรองชัยชนะในการเลือกตั้งของโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต และสั่งให้ฝูงชนเดินขบวนไปที่รัฐสภา และสุดท้ายไม่สามารถควบคุมม็อบไม่ให้ก่อความรุนแรงได้
ด้านทีมทนายของทรัมป์อ้างว่า การปราศรัยของลูกความของตนก่อนที่ม็อบจะบุกสภาเป็นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นที่ได้รับการปกป้องตามรัฐธรรมนูญ พร้อมกล่าวหาเดโมแครตว่า พยายามปิดปากทรัมป์เพราะกลัวว่า จะกลับมาลงเลือกตั้งในอนาคต
วุฒิสมาชิกรีพับลิกันปกป้องทรัมป์จากกระบวนการถอดถอนมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ปีที่แล้ว จากข้อกล่าวหาใช้อำนาจโดยมิชอบและขัดขวางกระบวนการสอบสวนของรัฐสภา กรณีที่ทรัมป์กดดันให้ยูเครนเปิดการสอบสวนไบเดนและลูกชาย โดยครั้งนั้นมีเพียงมิตต์ รอมนีย์ ที่แตกแถวมาโหวตข้างเดียวกับเดโมแครต
สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันในข้อกล่าวหาในกระบวนการถอดถอนทั้ง 2 ครั้งคือ การที่ทรัมป์ละทิ้งบรรทัดฐานประชาธิปไตยเพื่อผลักดันผลประโยชน์ทางการเมืองของตนเอง
อย่างไรก็ตาม ภายหลังการลงมติครั้งนี้ไม่นาน มิตช์ แม็กคอนเนลล์ ผู้นำเสียงข้างน้อยของรีพับลิกันในสภาสูงที่โหวต “ไม่มีความผิด” ยอมรับว่า ไม่มีข้อสงสัยว่า ทรัมป์มีความรับผิดชอบทั้งในทางปฏิบัติและศีลธรรมจากการยั่วยุผู้สนับสนุนในเหตุการณ์ดังกล่าว และสำทับว่า “พวกที่บุกสภาในวันนั้นเชื่อว่า พวกเขากำลังสนองตอบความต้องการและคำสั่งของประธานาธิบดีของตัวเอง”
ขณะเดียวกัน ผลสำรวจที่อิปซอสส์จัดทำให้กับรอยเตอร์พบว่า ชาวอเมริกันวัยผู้ใหญ่ 71% ซึ่งรวมถึงผู้สนับสนุนรีพับลิกันเกือบครึ่ง เชื่อว่า ทรัมป์มีส่วนรับผิดชอบกับเหตุการณ์ม็อบบุกสภาอย่างน้อยบางส่วน แต่มีเพียง 50% ที่คิดว่า ทรัมป์ควรถูกตัดสินว่า มีความผิดในการยั่วยุให้เกิดการจลาจล
การลงมติในวุฒิสภาตอกย้ำว่า ทรัมป์ยังคงมีอิทธิพลในรีพับลิกันจากนโยบายประชานิยมปีกขวาและ “อเมริกาต้องมาก่อน”
นักธุรกิจพันล้านที่เบนเข็มมาเล่นการเมืองผู้นี้มีแผนลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้งในปี 2024 แม้ได้ชื่อว่า เป็นประธานาธิบดีคนแรกในประวัติศาสตร์อเมริกันที่ถูกยื่นถอดถอนถึง 2 ครั้งก็ตาม
แม้รอดพ้นจากการถอดถอน แต่มีความเป็นไปได้ว่า เดโมแครตอาจยังพยายามหาช่องทางดำเนินการกับทรัมป์ เช่นเมื่อเร็วๆ นี้ที่มีการเสนอแนวคิดในการใช้ข้อกำหนดตามรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 14 ห้ามผู้ที่มีส่วนร่วมในการก่อจลาจลหรือการกบฎต่อรัฐบาลเข้าดำรงตำแหน่งทางการเมือง