ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐอเมริกา ปิดฉากโครงการสร้างกำแพงกั้นพรมแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโกได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว ด้วยวิธีปิดเส้นทางแหล่งเงินทุนสนับสนุนโครงการ ผ่านการออกคำสั่งฝ่ายบริหารให้ยกเลิกประกาศภาวะฉุกเฉินแห่งชาติของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเป็นข้ออ้างให้ทรัมป์สามารถดึงงบประมาณ 6 พันล้านดอลลาร์จากกระทรวงกลาโหมมาดำเนินโครงการ ที่ผ่านมามีการจัดสร้างไปแล้วราว 25% หรือ 720 กิโลเมตร จากระยะทางทั้งสิ้นประมาณ 3,000 กิโลเมตร
ทำเนียบขาวได้เผยแพร่หนังสือที่ประธานาธิบดีไบเดนส่งถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร ลงวันที่ 11 กุมภาพันธ์ เพื่อแจ้งรัฐสภาว่าได้มีการยกเลิกประกาศภาวะฉุกเฉินแห่งชาติ ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2019 ของทรัมป์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในการนี้ ไบเดนระบุว่า ประกาศภาวะฉุกเฉินนั้น “ไม่ชอบธรรม” และยืนยันด้วยว่าจะไม่มีการนำเงินภาษีจากประชาชนไปใช้สร้างกำแพงกั้นพรมแดนดังกล่าวอีกต่อไป นอกจากนั้นยังประกาศจะตรวจสอบเงินทั้งหลายที่ถูกใช้ในโครงการ บีบีซีรายงาน
การดำเนินการครั้งนี้จะทำให้คำสั่งยุติการสร้างกำแพงกั้นพรมแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโก ซึ่งไบเดนลงนามตั้งแต่วันสองแรกที่เข้ารับตำแหน่ง สามารถเกิดผลในทางปฏิบัติได้ทันที
ในเวลาเดียวกัน ผู้ลี้ภัยจากหลายประเทศต่างมีความมั่นใจมากขึ้นว่ารัฐบาลใหม่ของสหรัฐฯ จะมีมนุษยธรรมต่อผู้อพยพ และพวกเขาคงจะมีโอกาสมากขึ้นที่จะได้พักพิงในประเทศที่มีความมั่นคงและมีโอกาสทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น
ไบเดนแก้ไขสิ่งผิดยุคทรัมป์ ตั้งหน่วยเฉพาะกิจเร่งคืนเด็กสู่อ้อมอกพ่อแม่
การรุกคืบครั้งนี้ของประธานาธิบดีคนปัจจุบัน เป็นความเคลื่อนไหวครั้งล่าสุดในซีรีส์แห่งการออกคำสั่งฝ่ายบริหารมากมายเพื่อยุติหลายหลากนโยบายของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายเกี่ยวกับผู้อพยพลี้ภัยที่ทรัมป์เคยใช้ในท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์รุนแรงทั่วสารทิศ
ในสัปดาห์ที่แล้ว ไบเดนลงนามคำสั่งหลายฉบับซึ่งจะเร่งให้เกิดการดำเนินงานช่วยเหลือให้ครอบครัวของผู้อพยพได้กลับมาอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา หลังจากที่นโยบายในยุคของทรัมป์ได้พรากแม่พรากลูกออกจากกัน ตัวเลขของบีบีซีระบุว่าระหว่างปี 2017-2018 นโยบายดังกล่าวของทรัมป์ทำให้เด็กอย่างน้อย 5,500 รายถูกพรากจากผู้ปกครอง สืบเนื่องจากที่ครอบครัวมหาศาลเหล่านี้ลี้ภัยเข้าสหรัฐฯ โดยไม่มีเอกสารถูกต้อง แล้วถูกหน่วยตระเวนชายแดนจับกุมและนำตัวไปกักขัง โดยแยกเด็กออกมาอยู่ในสถานดูแลที่แออัดขาดสุขอนามัย ขาดแคลนสบู่และแปรงสีฟัน ตลอดจนอาหารและเครื่องนุ่งห่ม เด็กจำนวนหนึ่งเสียชีวิตเพราะไม่ได้รับการดูแลที่เพียงพอ
ในหลายปีที่ผ่านมา ผู้คนในประเทศเพื่อนบ้านของสหรัฐ รวมทั้งประชาชนในย่านอเมริกากลาง อาทิ จากคิวบา เอลซัลวาดอร์ กัวเตมาลา ฮอนดูรัส ฯลฯ ได้ทยอยหลบหนีความทุกข์ยากเพื่อมาแสวงหาความมั่นคงและปลอดภัย ตลอดจนโอกาสแห่งความอยู่รอดและชีวิตที่ดีขึ้น ผ่านช่องทางเข้าออกบริเวณพรมแดนเม็กซิโก-สหรัฐฯ
ผู้คนเหล่านี้พบว่าหลังจากที่สู้อุตส่าห์ฟันฝ่าความระกำลำบากในการหนีออกจากประเทศอันแร้นแค้น กลับต้องติดค้างอยู่ในพื้นที่กักกันที่แสนจะกันดารริมพรมแดนภายในฝั่งเม็กซิโกตามนโยบาย “อยู่ที่เม็กซิโกไปก่อน” หรือ Remaining in Mexico ที่ทรัมป์กำหนดขึ้น ทั้งนี้ แม้แต่รายที่เข้าสู่สหรัฐฯ ได้แล้ว แต่ถ้าถูกหน่วยตระเวนชายแดนจับกุมตัวได้ ก็จะถูกส่งกลับไปยังเม็กซิโก
ภายใต้คำสั่งของประธานาธิบดีไบเดน ได้มีการจัดตั้งหน่วยเฉพาะกิจที่เป็นหน่วยร่วมหลายกระทรวงเพื่อดำเนินการให้พ่อแม่ลูกได้กลับมาอยู่ด้วยกัน
เสนอร่าง กม.ให้ 11 ล้านผู้หลบหนีเข้าเมือง อยู่ในสหรัฐฯ ได้อย่างถูกต้อง
“เราจะดำเนินการเพื่อแก้ไขความล้มเหลวทางศีลธรรมที่สร้างความอับอายแก่ประเทศชาติซึ่งเกิดขึ้นโดยรัฐบาลชุดที่แล้ว โดยมีการพรากเด็กออกจากอ้อมอกอบอุ่นของพ่อแม่และครอบครัวในบริเวณพรมแดน โดยไม่มีแผนที่จะนำเด็กๆ กลับคืนสู่ผู้ปกครองแต่อย่างใด” ประธานาธิบดีไบเดนกล่าว
นอกจากนั้น ไบเดนได้เสนอร่างกฎหมายที่จะให้สถานภาพทางกฎหมายแก่ผู้หลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมายที่มีอยู่ประมาณ 11 ล้านราย โดยสถานภาพทางกฎหมายนี้จะเป็นหนทางสู่การได้รับสถานภาพพลเมืองอเมริกันต่อไป
ผู้อพยพคือแรงงานราคาถูก-ยอมทำงานที่คนทั่วไปเซย์โน ถือเป็นเรื่องดีต่อเศรษฐกิจ
นโยบายที่อิงอยู่กับหลักมนุษยธรรมที่ไบเดนดำเนินอยู่นั้น เป็นแนวปฏิบัติที่คนอเมริกันถกเถียงกันช้านานเกี่ยวกับปัญหาผู้หลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมาย ที่ผ่านมาคนอเมริกันมองปัญหาเรื่องนี้แตกต่างไปสองทิศทาง
ในทิศทางมองโลกด้านดี คนอเมริกันส่วนหนึ่งเชื่อว่าผู้ลี้ภัยเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในหลายด้าน เช่น รัฐได้รับภาษีมากขึ้น จำนวนแรงงานค่าจ้างราคาถูกมีมากขึ้น และการหมุนเวียนของเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจเพิ่มสูงขึ้น
ยิ่งกว่านั้น ผู้คนที่เห็นด้านบวกจะเตือนให้ระลึกข้อเท็จจริงว่า มีประเภทงานมากมายที่คนอเมริกันไม่ยอมทำ ประเทศชาติก็ได้ผู้อพยพ (ที่พร้อมทำงานสุจริตทุกอย่างเพื่อให้มีรายได้เลี้ยงชีพ) มารับทำงานเหล่านี้ พร้อมกับเตือนสติฝ่ายที่คัดค้านว่า แท้จริงแล้วการคัดค้านนั้นมีต้นตอจากอคติที่ดูหมิ่นเชื้อชาติหรือไม่
สำหรับฝ่ายต่อต้านการหลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมายประกาศว่า การข้ามพรมแดนเข้าสู่สหรัฐฯ โดยไม่มีเอกสารถูกต้อง ตลอดจนการอยู่ในสหรัฐฯ นานเกินระยะเวลาอนุญาตตามวีซ่านั้น คือการละเมิดกฎหมาย ซึ่งจะต้องเนรเทศออกไป ไม่ใช้มารับรางวัลการทำผิด ด้วยสถานภาพทางกฎหมายที่จะนำไปสู่การได้รับสถานภาพพลเมือง อีกทั้งได้รับสิทธิ์เข้าถึงบริการทางสังคมต่างๆ ต่อไป
ฝ่ายต่อต้านตั้งข้อให้ว่าผู้หลบหนีเข้าเมืองเป็นอาชญากรและเป็นภาระทางสังคมและเศรษฐกิจของคนอเมริกันที่ปฏิบัติตามกฎหมายและจ่ายภาษีอย่างถูกต้องทั้งปวง
จำนวนผู้ลี้ภัยที่ไม่มีเอกสารถูกต้องได้พุ่งเพิ่มมหาศาล ต้อนรับยุคใหม่-ไบเดน
ขณะที่การถกเถียงยังค้างคา ไบเดนได้ประสบความสำเร็จสามารถชนะเลือกตั้งโดยเสนอต่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งไว้ชัดเจนถึงค่านิยมหลักของสหรัฐฯ ว่าด้วยมนุษยธรรม และประวัติศาสตร์ชาติอเมริกันในฐานะประเทศแห่งผู้ย้ายถิ่นเพื่อชีวิตที่มั่นคงและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ดังนั้น การก้าวขึ้นสู่อำนาจของประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ ผู้ใช้หลักมนุษยธรรมต่อผู้ลี้ภัย แบบพลิกขั้วตรงข้ามกับประธานาธิบดีคนก่อนหน้า ประมาณว่าก้นเหวสู่เวิ้งนภา จึงเป็นความหวังสำหรับผู้ที่รอคอยโอกาส ณ แนวพรมแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโก
ในการนี้ สำนักข่าวเอพีออกรายงานสถานการณ์การลี้ภัยเข้าสู่สหรัฐฯ ผ่านพรมแดนเม็กซิโกว่า ในสองสามสัปดาห์แรกที่ไบเดนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี จำนวนผู้ลี้ภัยที่ไม่มีเอกสารถูกต้อง โดยผ่านเข้ามาทางชายแดนเม็กซิโก ได้ทะยานขึ้นมากมายบนความคาดหวังว่าโอกาสในการได้ตั้งรกรากในสหรัฐฯ จะดีขึ้นในยุคสมัยของรัฐบาลไบเดนนั่นเอง
สถานีเจ้าหน้าที่ตระเวนชายแดนในจุดต่างๆ อันเป็นสถานที่กักกันผู้ลี้ภัยที่ไม่มีเอกสารถูกต้องนั้น เริ่มจะแออัดจนเกือบล้นเกณฑ์ปลอดภัยยุคโควิดระบาดแล้ว เอพีรายงานอย่างนั้น และระบุว่าทางการเทกซัสจะต้องกลับไปเปิดเต้นท์ยักษ์ทางแถบภาคใต้ของรัฐ เพื่อเป็นที่พักอาศัยฉุกเฉิน
ด้านสำนักงานศุลกากรและการปกป้องชายแดนแห่งสหรัฐฯ ออกคำแถลงเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าสถานที่หลายแห่งที่สำนักงานฯ ใช้รองรับผู้หลบหนีเข้าเมือง ได้ทวีความหนาแน่นแออัดถึงระดับที่เต็มศักยภาพที่จะรองรับได้ตามมาตรฐานความปลอดภัย
ในกรณีของบรรดาศูนย์แรกรับเด็กๆ ที่ผู้ปกครองส่งให้หลบหนีเข้าเมืองมาตามลำพัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ปกครองที่ยังติดค้างอยู่ที่สถานกักกันในบริเวณพรมแดนฝั่งเม็กซิโก ตอนนี้มีพื้นที่เหลือเพียง 20% เท่านั้น ในการนี้ กระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ซึ่งบริหารดูแลศูนย์เหล่านี้จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการกลับไปเปิดศูนย์รองรับฉุกเฉินที่แคมป์ที่พักเก่าของคนงานเหมืองน้ำมันในเมืองคาร์ริโซ สปริงส์ รัฐเทกซัส ตั้งแต่วันจันทร์หน้า (15) ศูนย์แห่งนี้จะรับเด็กได้ถึง 700 ราย
ชีวิตทรหดของ “คุณแม่ไนเลต” กว่าจะได้สัมผัสโอกาสแห่งความอยู่รอดในสหรัฐฯ
สาวไนเลตหนีออกจากประเทศคิวบาเมื่อปีที่แล้ว และหลบหนีเข้าสู่สหรัฐฯ ผ่านพรมแดนเม็กซิโก-สหรัฐฯ ทั้งนี้ เธอถูกหน่วยตระเวนชายแดนของสหรัฐฯ จับกุมและส่งกลับไปยังเม็กซิโก
ในเดือนมกราคม 2021 ไนเลตซึ่งอยู่ในภาวะใกล้คลอด ได้หลบหนีเข้าสหรัฐฯ อีกครั้งหนึ่ง โดยยอมถูกจับกุม เพื่อจะได้คลอดบุตรในโรงพยาบาลบนแผ่นดินสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลให้ลูกได้รับสัญชาติอเมริกันตามกฎหมาย
วันรุ่งขึ้นหลังการคลอดบุตรเรียบร้อย ไนเลตได้บุตรชายมาอุ้มชู แต่เธอและทารกตัวน้อยถูกเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางนำตัวไปเข้าพักอาศัยในสถานกักกันของสำนักงานปราบปรามการหลบหนีเข้าเมืองและศุลกากรแห่งสหรัฐฯ หรือ Immigration and Customs Enforcement (ICE) ซึ่งผู้ลี้ภัยจะเรียกว่ากล่องน้ำแข็ง หรือ Icebox
สถานที่แห่งนี้มีแม่และเด็กรายอื่นๆ พักอาศัยอยู่ 15 ครอบครัว และ แม้จะเป็นยุคที่หน่วยงานภาครัฐในสหรัฐฯ ต้องป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 แต่สมาชิกของ Icebox ทุกคน ต้องนอนเรียงกันแบบที่แทบจะไม่มีระยะห่างทางสังคม ภายในห้องเพียงห้องเดียวซึ่งจะเปิดไฟสว่างจ้าตลอดวันตลอดคืน
ในท่ามกลางอากาศหนาวเย็นของฤดูหนาว แต่ละคนได้รับเสื่อปูนอนคนละผืน และบรรยากาศภายในห้องเต็มไปด้วยเสียงไอและเสียงจามของเด็กๆ ตลอดเวลา
ทั้งที่ยังเจ็บจากการคลอดบุตร ไนเลตต้องอดทนเลี้ยงดูทารกตัวน้อยโดยมีผ้าห่มกันหนาวผืนเล็กเพียงผืนเดียวที่ได้รับจากโรงพยาบาล ยิ่งกว่านั้น ไนเลตแจ้งเจ้าหน้าที่ว่าโรงพยาบาลนัดให้เธอพาลูกไปพบแพทย์ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ แต่เจ้าหน้าที่มิได้จัดการให้ ไนเลตเล่ารายละเอียดชีวิตทรหดทั้งหมดของเธอให้เอพีนำมาทำรายงานข่าว
ไนเลตและทารกน้อยได้ตั้งต้นชีวิตใหม่ในแผ่นดินอเมริกา สมความตั้งใจ
เนื่องจากไนเลตเป็นชาวคิวบา และสหรัฐฯ มีกฎหมายเก่าแก่อายุ 55 ปีที่รับประกันสิทธิ์แก่ผู้หลบหนีเข้าเมืองที่เป็นชาวคิวบาว่าจะได้รับสถานภาพผู้พักพิงอย่างถูกกฎหมาย และในท้ายที่สุด ก็จะได้รับสัญชาติอเมริกัน (เป็นกฎหมายในยุคการเผชิญหน้าระหว่างสหรัฐฯ และคิวบา ซึ่งทำให้มีการส่งเสริมให้ชาวคิวบาแปรพักตร์และหนีมาพักพิงอาศัยในสหรัฐฯ)
แต่ทั้งนี้ ไนเลตจะต้องมีชาวอเมริกันเป็นสปอนเซอร์ เธอจึงจะพ้นออกจากสถานกักกัน Icebox และเริ่มต้นชีวิตในสหรัฐฯ ได้อย่างถูกกฎหมาย
ในวันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ ผลการตรวจสุขภาพของไนเลตและลูกออกมาว่าเรียบร้อยดี
และแล้ววันแห่งอิสรภาพและการเริ่มต้นชีวิตใหม่ของไนเลตและบุตรชายก็มาถึง ในวันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ ไนเลตซึ่งมีสปอนเซอร์เป็นที่เรียบร้อยและมีการส่งตั๋วเครื่องบินให้เธอและทารกน้อยเดินทางไปพักอาศัยกับครอบครัวสปอนเซอร์ดังกล่าว ได้รับการปล่อยตัวพ้น Icebox
การเริ่มต้นใหม่ในสหรัฐฯ จะไม่ราบรื่นเลย หากไม่มีองค์การใจบุญช่วยสนับสนุนในช่วงระหว่างการพ้นจากสถานกักกันกับการเดินทางไปถึงครอบครัวสปอนเซอร์ องค์การใจบุญดังกล่าวคือ กลุ่มความร่วมมือประสานหลายฝ่ายเพื่อมนุษยธรรมพื้นที่ชายแดนแห่งวัลแวร์เด หรือ Val Verde Border Humanitarian Coalition ซึ่งเป็นหนึ่งในหลายหลากองค์การกุศลที่ทำการช่วยเหลือครอบครัวผู้ลี้ภัยในช่วงที่พ้นจากสถานกักกัน และจัดหาสิ่งจำเป็นที่ต้องใช้เป็นเบื้องต้น รวมทั้งให้บริการนำส่งไปสนามบิน หรือสถานีรถโดยสารข้ามรัฐ
มนุษย์ทรหดที่สามารถอดทนต่อสู้ฟันฝ่าความยากลำบากอันต่อเนื่องยาวนานตั้งแต่ประเทศต้นทาง ประเทศระหว่างทาง จนมาถึงประเทศปลายทางของการอพยพลี้ภัยได้สำเร็จนั้น มักที่จะเป็นนักต่อสู้ซึ่งมีพลังในทางสร้างประโยชน์แก่สังคมได้อย่างมหาศาล แบบที่เรียกว่าหนักก็เอา เบาก็สู้นั่นเอง
โดย รัศมี มีเรื่องเล่า
(ที่มา : บีบีซี และเอพี)