เจ๋อชือล็อก (Tse Chi Lop) หรือ “ซ้ามก๊อ” (พี่สาม) แห่ง “The Company” ราชายาเสพติดระดับ Kingpin ที่ปรากฏในฐานข้อมูลของบรรดาฝ่ายปราบปรามยาเสพติดทั่วโลก ได้ใช้ยุทธศาสตร์ประสานสิบทิศจนสามารถประสบความสำเร็จในการเชื่อมโยงเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติดกว่า 20 เครือข่ายภายในประเทศต่างๆ มากกว่า 12 ประเทศในนานาภูมิภาคทั่วโลก การจับกุมซ้ามก๊อ เจ๋อชือล็อก เมื่อวันศุกร์ที่ 22 มกราคม 2021 เป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญในปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติดระหว่างประเทศ แต่อาจจะไม่ถึงกับสะท้านสะเทือนอุตสาหกรรมยาเสพติดโลก เพราะผู้สันทัดกรณีฟันธงเดี๋ยวก็จะมีอาชญากรรายอื่นเข้าไปสวมบทบาทนี้แทน
เรื่องราวของเจ๋อชือล็อกถูกนำเสนอต่อสาธารณชนในฐานะราชา (Kingpin) ยาเสพติดรายใหม่แห่งเอเชียแปซิฟิก โดยมีรายงานข่าวเชิงสืบสวนสอบสวนของรอยเตอร์ เป็นตัวจุดประกายเมื่อ 14 ตุลาคม 2019 รายงานนี้ถือได้ว่าเจาะทะลุทะลวงอุตสาหกรรมยาเสพติดข้ามทวีปของเจ้าพ่อเจ๋อ เพราะมีข้อมูลรองรับมหาศาล ทั้งข้อมูลสัมภาษณ์และข้อมูลเอกสารของสารพัดสถาบัน ซึ่งรวมถึงสำนักงานป้องกันยาเสพติดและปราบปรามอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UN Office on Drugs and Crime - UNODC) สำนักงานตำรวจแห่งชาติของออสเตรเลีย (Australian Federal Police - AFP) สำนักงานปราบปรามยาเสพติดสหรัฐอเมริกา (US Drug Enforcement Administration - DEA) สำนักงานสืบสวนสอบสวนแห่งกระทรวงยุติธรรมไต้หวัน (Taiwan’s Ministry of Justice Investigation Bureau) ฯลฯ ตลอดจนบรรดาผู้นำของกองกำลังอาวุธในรัฐฉาน (Shan) ทางตอนเหนือของพม่า และเจ้าหน้าที่ปราบปรามยาเสพติดหลายสิบนายภายใน 8 ประเทศ
เจ๋อชือล็อก ชาวแคนาเดียนที่เกิดในจีน เป็นผู้ต้องสงสัยว่าคือผู้นำเครือข่ายยาบ้า เมทแอมเฟตามีน อันมโหฬาร ซึ่งผงาดขึ้นเป็นรายใหม่ในเอเชีย โดยสามารถคุมเครือข่ายค้ายาเสพติดข้ามชาติข้ามทวีปที่ใหญ่โตกว้างขวางในหลากหลายประเทศ ผ่านการสร้างพันธมิตรกับก๊วนอั้งยี่ค้ายาเสพติดห้ายักษ์ในเอเชีย รอยเตอร์นำเสนอเรื่องนี้เป็นประเด็นหลักในรายงานเรื่อง The Hunt for Asia’s El Chapo โดยทอม อัลลาร์ด
“เดอะคอมปานี” (The Company) เป็นชื่อที่สมาชิกใช้เป็นชื่อของเครือข่าย ในเวลาเดียวกัน ตำรวจนำชื่อซ้ามก๊อของเจ๋อมาเรียกเป็นอีกฉายาหนึ่งของเครือข่ายนี้
ความโดดเด่นของเครือข่ายซ้ามก๊อ คือขนาดอันมโหฬารและรายได้อันมหาศาล
ฝ่ายปราบปรามยาเสพติดในสารพัดประเทศเชื่อว่าเครือข่ายข้ามชาติซ้ามก๊อลักลอบส่งยาบ้า, เฮโรอีน, ยาอี และยาเคไปยังประเทศต่างๆ มากกว่าหนึ่งโหลภายในเอเชียแปซิฟิก ซึ่งสำเร็จได้เพราะเจ๋อชือล็อคสามารถสร้างโยงใยแห่งพันธมิตรและหุ้นส่วนธุรกิจที่ยุ่บยั่บกว้างขวางไปทั่วโลก ไล่เรียงได้ตั้งแต่ญี่ปุ่น จีน เกาหลีที่อยู่ในภูมิภาคเอเชียเหนือ ลงมายังไทย เวียดนาม ลาว พม่า ไปจนถึงออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ในภูมิภาคแปซิฟิกใต้ พร้อมด้วยเครือข่ายในแคนาดา สหรัฐอเมริกา และอิตาลี ในการนี้ ยาบ้าหรือก็คือ เม็ท (meth) เป็นธุรกิจตัวหลัก รอยเตอร์รายงาน
ด้าน UNODC ฟันธงมานานแล้วว่าเจ๋อเป็นผู้นำแก๊งค้ายาซึ่งครองส่วนแบ่งตลาดยาบ้ามากที่สุดของภูมิภาค โดยให้ประมาณการว่ารายได้ที่เครือข่ายซ้ามก๊อเก็บเกี่ยวได้ต่อปีจากการลักลอบค้ายาบ้าเมื่อปี 2018 อยู่ที่ระดับไม่ต่ำกว่า 8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา และอาจจะสูงลิ่วไปถึง 17,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกาก็เป็นได้ หน่วยงานแห่งสหประชาชาติหน่วยนี้ให้ประมาณการด้วยว่าสหพันธ์ธุรกิจซ้ามก๊อครองส่วนแบ่งตลาดค้าส่งยาบ้าในเอเชียแปซิฟิกได้ไม่น้อยกว่า 40% โดยอาจสูงได้ถึง 70% ผลประกอบการอันมหาศาลนี้มาจากอัตราขยายตัว 400% ในรอบ 5 ปี นับจากปี 2015
ในฐานะตัวการขับเคลื่อนให้ธุรกิจใต้ดินนี้บูมมากมายเพียงนี้ เจ๋อจึงผู้ที่ฝ่ายปราบปรามยาเสพติดของประเทศต่างๆ ต้องการลากตัวไปดำเนินคดีและกุมขังอย่างยิ่งยวดที่สุดในเอเชีย
‘ซ้ามก๊อ’ เกิดในกวางตุ้ง ปี 1963 เติบใหญ่ในวงการยาเสพติดยุคสามเหลี่ยมทองคำเฟื่องฟู
เจ๋อชือล็อก หรือซ้ามก๊อ เป็นลูกจีนที่ถือกำเนิดขึ้นในเมืองกว่างโจว มณฑลกวางตุ้ง ปี 1963 เมื่อเจริญวัยขึ้นมาก็ทำมาหากินมิจฉาชีพจนกระทั่งร่ำรวยมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เขาอพยพย้ายถิ่นจากจีนไปฮ่องกงในยุคที่ฮ่องกงยังอยู่กับอังกฤษ แล้วให้หลังมาก็อพยพย้ายถิ่นฐานจากฮ่องกงไปแคนาดาในปี 1988
เส้นทางไต่เต้าในแวดวงธุรกิจยาเสพติดของเจ๋อ ก่อนจะผงาดขึ้นเป็นซ้ามก๊อนั้น เจ๋อเข้าสู่อุตสาหกรรมใต้ดินแห่งยาเสพติดภายในยุคที่อุตสาหกรรมยาเสพติดแห่งดินแดนสามเหลี่ยมทองคำขยายตัวเฟื่องฟูทศวรรษแล้วทศวรรษเล่าภายในป่าทึบของพม่า ประเทศซึ่งมากมายด้วยสงครามและมีหลากหลายพื้นที่ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของขุนศึกและกองกำลังฝ่ายต่างๆ ที่ต่อสู้แย่งชิงอำนาจในระหว่างกัน ส่งผลให้อุตสาหกรรมการผลิตยาเสพติดปลอดพ้นจากการปราบปราม
นับตั้งแต่ยุคของ “โลซิงฮาน” ขุนศึกเชื้อสายจีนจากเขตชนกลุ่มน้อยโกก้างในพม่า ผู้ซึ่งถูกฝ่ายปราบปรามยาเสพติดทั้งปวงของชาติตะวันตกระบุว่าเป็นนักค้าเฮโรอีนรายใหญ่ที่สุดของโลกในต้นทศวรรษ 1970
ต่อด้วยยุคของ “ขุนส่า” หรือจางซีฟู ที่มีความเป็นมาละม้ายโลซิงฮาน และได้รับขนานนามเป็นราชายาเสพติดตั้งแต่ 1976 ซึ่งเป็นช่วงสามปีหลังจากที่โลซิงฮานถูกจับกุมและถูกคุมขังต่อเนื่องถึงปี 1980 ขุนส่าถูกกล่าวหาว่าเป็นบุรุษที่ยืนเบื้องหลังการค้าเฮโรอีนรายใหญ่ที่สุดของภูมิภาค แล้วต่อมาก็สร้างผลิตภัณฑ์นรกสายพันธุ์ใหม่ๆ ตามนวัตกรรมแห่งวิทยาการ ได้แก่ ยาบ้าและยาเสพติดสังเคราะห์อื่นๆ เขายุติบทบาทเจ้าพ่อค้ายานรกด้วยการเข้ามอบตัวต่อทางการพม่า ยุบเลิกกองกำลัง แล้วโยกย้ายไปอยู่ในย่างกุ้งเมื่อปี 1996
ยุคของเหว่ยเซียะกัง และการเติบโตของเมืองยอน
ในช่วงคู่ขนานกับยุคของขุนส่า ราชายาเสพติดนามว่าเหว่ยเซียะกังได้ผงาดขึ้นมา เหว่ยเคยเป็นลูกน้องมือขวาของขุนส่า แต่แตกคอกันโดยเหว่ยยักยอกเงินจากขุนส่า 50 ล้านบาทและหนีไปสร้างธุรกิจค้ายาเสพติดที่อเมริกา ก่อนจะหนีคดี กลับมาดำเนินธุรกิจยาเสพติดในพม่า
ในปลายปี 1984 เหว่ยซึ่งร่ำรวยมหาศาลจากการลักลอบค้ายาเสพติด ได้เข้าร่วมในกองทัพสหรัฐว้า (United Wa State Army - UWSA) ซึ่งตอนนั้นยังเป็น Wa National Army ส่งผลให้ธุรกิจยาเสพติดของเขาทำรายได้มากยิ่งขึ้นไปอีก ในหลายปีต่อมา เขาทำการฟอกเงินที่ได้จากการลักลอบค้ายาเสพติดด้วยการลงทุนมหาศาลในประเทศต่างๆ ย่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งในไทยด้วย ในเวลาต่อมา UWSA ประสบโอกาสอันดีโดยสามารถยึดพื้นที่ของกองทัพแห่งชาติรัฐฉาน (Shan United Army - SUA) ซึ่งอยู่บริเวณชายแดนพม่า-ไทย พื้นที่บริเวณนี้ซึ่งอยู่ในหุบเขาเมืองยอนกลายเป็นเขตทหารฝ่ายใต้ของกองทัพว้า โดยมีส่วนหนึ่งอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของเหว่ยซึ่งได้รับการสนับสนุนด้านโลจิสติกส์จากไทยและก๊กมินตั๋งในไทยและในไต้หวัน ในไม่ช้าพื้นที่นี้กลายเป็นแหล่งปลอดภัยแก่การผลิตและค้าเฮโรอีนและยาบ้าเพราะรัฐบาลทหารของพม่าไม่เข้าไปแทรกแซงด้วยเหตุผลเชิงยุทธศาสตร์ นอกจากนั้นยังเป็นช่องทางสำคัญเข้าสู่ไทย เว็บไซต์องค์การความมั่นคงโลก หรือ globalsecurity.org ให้รายละเอียดไว้อย่างนั้น
อย่างไรก็ตาม ในเดือนตุลาคม 1987 เหว่ยซึ่งร่ำรวยมั่นคงและใช้ประโยชน์จากเส้นทางจากเมืองยอนสู่พรมแดนไทยเป็นช่องทางลักลอบขนยาบ้าและเฮโรอีนไปสู่ตลาดโลก ได้ถูกตำรวจไทยจับกุมพร้อมของกลางคือเฮโรอีนราว 680 กิโลกรัม เขาถูกดำเนินคดีในประเทศไทย แต่สามารถหลบหนีการตัดสินคดีได้ และกลับคืนถิ่นดำเนินธุรกิจเถื่อนต่อไป ทั้งนี้ ศาลไทยตัดสินว่าเขามีความผิดและต้องโทษประหารชีวิต ข้อมูลในเว็บไซต์ตำรวจคลองลาน กำแพงเพชร ให้รายละเอียดไว้ที่ http://khlonglan.kamphaengphet.police.go.th/police93.html
หลังกลับคืนสู่หุบเขาเมืองยอน เหว่ยเดินหน้าธุรกิจยาเสพติดเจริญรุ่งเรืองต่อไป ตรงข้ามกับเส้นทางชีวิตของขุนส่าซึ่งเข้ามอบตัวต่อทางการพม่า ยุบเลิกกองกำลัง แล้วโยกย้ายไปอยู่ในย่างกุ้งในปี 1996
เหว่ยขยายฐานกำลังครั้งใหญ่ในปี 1998 เมื่อกองทัพว้าไฟเขียวทำการพัฒนาหุบเขาเมืองยอนอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ทั้งการตัดถนนใหม่หลายเส้นทาง สร้างเขื่อน และโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้า วางระบบโทรศัพท์ สร้างโรงเรียนและโรงพยาบาลขนาด 40 เตียง พร้อมกันนั้นยังมีการพัฒนาฐานกำลังแห่งที่สองซึ่งมีชื่อว่าเมืองใหม่ในรูปแบบโครงสร้างพื้นฐานแบบเดียวกัน ฐานกำลังแห่งที่ 2 ของเหว่ยอยู่ลึกเข้าไป 6 กิโลเมตรในพื้นที่ของพม่า และอยู่ตรงข้ามกับจังหวัดเชียงราย งบประมาณเพื่อภารกิจเหล่านี้มาจากรายได้การค้ายาเสพติดที่เหว่ยดำเนินการอยู่
อำนาจของเหว่ยทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อปรากฏว่าในเวลาต่อมาผู้คนจากเขตทหารฝ่ายเหนือของกองทัพว้าโยกย้ายเข้าสู่พื้นที่ฝั่งใต้เหล่านี้ โดยมีประมาณการว่าในต้นปี 1999 ประชากรในหุบเขาเมืองยอนสูงถึง 10,000 ราย และเมื่อถึงปลายปี ตัวเลขพุ่งขึ้นเป็น 30,000 รายทีเดียว globalsecurity.org ให้ข้อมูล
ด้วยฐานลูกค้าที่เหว่ยสร้างไว้ในช่วงที่เข้าไปสร้างตลาดยาเสพติดในสหรัฐฯ ตลาดอเมริกันคือลูกค้ารายใหญ่ของเขาอย่างต่อเนื่องหลายทศวรรษ ในเวลาเดียวกัน ทางการสหรัฐฯ ก็พยายามที่จะจับกุมเขาไปดำเนินคดี ทั้งนี้ ในช่วงที่ถูกตำรวจไทยจับกุมได้ ไทยเตรียมจะส่งตัวเหว่ยไปให้สหรัฐฯ ดำเนินคดี แต่เหว่ยสามารถหลบหนีได้ก่อน
กระนั้นก็ตาม ทางการสหรัฐฯ เดินหน้าดำเนินคดีเล่นงานเหว่ยอย่างต่อเนื่อง
ในปี 1993 เหว่ยถูกศาลประจำเขตตะวันออกแห่งรัฐนิวยอร์ก (EDNY) ดำเนินคดีสี่กระทงในข้อหาสมคบกับผู้อื่นร่วมกันนำเข้าและจำหน่ายเฮโรอีนกว่า 400 กิโลกรัมในอเมริกา และในปี 2004 เหว่ยและสมาชิกระดับสูงของกองทัพว้าแดง 20 ราย ได้ถูกศาล EDNY ดำเนินคดีข้อหาที่เกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติด และมีการตัดสินให้ยึดทรัพย์ของเหว่ยและพวก จำนวน 103 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ข้อมูลเหล่านี้ปรากฏในข้อมูลเว็บไซต์ตำรวจคลองลาน กำแพงเพชร
เจ๋อชือล็อกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสามเหลี่ยมทองคำ
ห้วงเวลาที่เจ๋อชือล็อกเจาะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในกลไกยาเสพติดของดินแดนสามเหลี่ยมทองคำอยู่ในยุคของขุนส่า และเหว่ยเซียะกัง คือ ประมาณปลายทศวรรษ 1970 ซึ่งเจ๋ออยู่ในช่วงทีนเอจเลือดร้อนชาวกวางตุ้ง
ภายในบริบทของห้วงเวลาเหล่านี้ มีโครงสร้างการแบ่งพื้นที่ยืนให้แก่อาชญากรทั้งหลายภายในสามเหลี่ยมทองคำอย่างกว้างขวาง ในรายงานของเบอร์ทิล ลินทเนอร์ซึ่งเจาะลึกสภาพการณ์ในสามเหลี่ยมทองคำไว้บนเว็บไซต์ข่าวเอเชียไทม์สเมื่อเดือนธันวาคม 2019 ทำให้เห็นภาพโครงการดังกล่าวเป็นสามกลุ่ม กลุ่มแรกคือกลุ่มซัปพลายเออร์วัตถุดิบอันได้แก่ฝิ่น โดยโลซิงฮานเป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มซัปพลายเออร์วัตถุดิบ
โลซิงฮานซึ่งเริ่มต้นบทบาทในฝ่ายรัฐบาลพม่าด้วยตำแหน่งผู้บัญชาการกองกำลังที่รัฐบาลพม่ารับรอง และได้รับอนุญาตอย่างไม่เป็นทางการให้ทำการค้าฝิ่น แลกเปลี่ยนกับภารกิจที่จะต้องต่อสู้กับกบฏชนชาติต่างๆ ในรัฐฉาน (Shan) ทางตอนเหนือของพม่า ดังนั้นจึงสามารถสร้างกองกำลังใหญ่โตไปสนับสนุนธุรกิจมืด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การลำเลียงของเถื่อนประดามี ไม่ว่าจะฝิ่น หยก และสินค้าลักลอบนำเข้า-ส่งออกทั้งปวง โดยแต่ละปีจะขับเคลื่อนกัน 3-4 รอบ ทั้งในส่วนของตนเองกับในส่วนของเจ้าอื่นๆ ที่โลซิงฮานให้ความคุ้มครอง อาทิ ฝิ่นระดับซูเปอร์บิ๊กล็อตของกลุ่มเทรดเดอร์ชาวปันทาย (Panthay บ้างจะเรียกว่าปันเต และปันเตย์) ซึ่งเป็นมุสลิมพม่าเชื้อสายจีนที่ตั้งถิ่นฐานในตอนเหนือของรัฐฉาน ทั้งนี้ เส้นทางการลำเลียงเริ่มจากเมืองล่าเสี้ยว (Lashio) ในรัฐฉาน ลงไปยังพื้นที่ติดชายแดนประเทศไทย คือ ท่าขี้เหล็ก (Tachilek) ที่สุดแห่งสามเหลี่ยมทองคำ
นอกเหนือจากคาราวานสินค้าเถื่อนของโลซิงฮานแล้ว ดินแดนแถบนี้ยังมีพ่อค้าฝิ่นรายยักษ์อื่นๆ อีกที่เป็นกลุ่มค้าส่ง เช่น สองยักษ์ในเชียงตุง (Kengtung) ได้แก่ สือเจียชุย (Shi Kya Chui) กับ หยังซ่าง (Yang Sang) ซึ่งเป็นที่รู้จักในอีกนามหนึ่งว่า หยังสือหลี่ (Yang Shi-li) ทั้งนี้ภายในวงการระบุว่ายักษ์คู่นี้ทำยอดขายเป็นปริมาณที่มหาศาลกว่าโลซิงฮาน
ฝิ่นปริมาณมหาศาลที่มาถึงดินแดนสามเหลี่ยมทองคำจะเข้าสู่มือของผู้แปรรูปฝิ่นไปเป็นสิ่งเสพติดประเภทต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเฮโรอีน ผู้แปรรูปฝิ่นคืออาชญากรกลุ่มที่ 2 ภายในโครงสร้างอุตสาหกรรมยาเสพติด
ณ ท่าขี้เหล็กซึ่งมีลักษณะเป็นชุมทางที่เหล่าดาวร้ายโคจรมาซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าเถื่อน เป็นพื้นที่สำคัญของอาชญากรกลุ่มที่ 3 ซึ่งรับบทบาทเป็นกลุ่มเทรดเดอร์ค้าส่งที่จะลักลอบนำผลิตภัณฑ์นรกไปสู่ผู้บริโภคในสารพัดประเทศ
เทรดเดอร์จำนวนมากมายเหล่านี้ทำการรับช่วงผลิตภัณฑ์ไปลักลอบนำออกจากชายแดนพม่าผ่านนานาช่องทาง แล้วเล็ดลอดชายแดนไทย จีน และลาว ออกสู่ประเทศที่ 3 หลังจากนั้นยาเสพติดจะถูกขายและกระจายสู่ประดาขี้ยาในนานาประเทศ เครือข่ายและกระบวนวิธีดำเนินงานของเทรดเดอร์ข้ามชาติเหล่านี้ประกอบด้วยกลไกหลายทอดทีเดียว
“พื้นที่ตรงนี้คือพื้นที่ปฏิบัติการของเจ๋อชือล็อก”
เติบใหญ่ในวงการค้ายาเสพติดผ่านกลุ่ม Big Circle Boys ของสมาชิกเรดการ์ดจีน
เว็บไซต์ข่าว International Business Times หรือไอบีไทมส์แห่งสิงคโปร์ รายงานว่า เจ๋อเติบโตขึ้นในเมืองกว่างโจว มณฑลกวางตุ้ง ภายในยุคปฏิวัติวัฒนธรรมของกรรมาชีพ (1966-1976) อันเป็นห้วงเวลาที่ประธานเหมา เจ๋อตง ประกาศกำจัดลัทธิแก้ โดยมีการตั้งกลุ่มเรดการ์ดขึ้นทั่วประเทศ นำไปสู่การกวาดล้าง การต่อสู้ระหว่างกลุ่มต่างๆ ความปั่นป่วนวุ่นวาย ความอดอยากหิวโหย และการจับเข้าแคมป์บังคับใช้แรงงาน ในช่วงเหล่านี้มีสมาชิกเรดการ์ดที่ถูกกุมขังจำนวนหนึ่งได้จัดตั้งขบวนการอาชญากรรมในนามว่า แก๊งหนุ่มวงใหญ่ (Big Circle Boys) ขึ้นมาในกว่างโจว ทั้งนี้ ตำรวจมีข้อมูลว่าเจ๋อเข้าเป็นสมาชิกของแก๊งนี้ และเมื่อมีโอกาสก็ย้ายถิ่นเข้าสู่ฮ่องกง
ในทศวรรษ 1980 ที่ขุนส่ายังโลดแล่นในยุทธจักรการผลิตและค้าเฮโรอีน และในปี 1984 ที่เหว่ยเซียะกังกำลังรุ่งเรืองขั้นสุดผลิตและขายเฮโรอีนตลอดจนยาบ้านโดยมีความคุ้มครองจากกองทัพสหรัฐว้า (UWSA) เจ๋อทำผลงานอาชญากรรมในบทบาทของเทรดเดอร์ที่ลักลอบนำเฮโรอีนออกจากชายแดนพม่า แล้วลักลอบนำออกจากชายแดนไทย จีน และลาว ก่อนที่ผลิตภัณฑ์เถื่อนเหล่านี้จะถูกลักลอบเข้าสู่ประเทศที่ 3 ต่อไป
เติบโตถึงระดับกลางด้วยผลงานลักลอบเฮโรอีนออกจากสามเหลี่ยมทองคำ
ด้วยความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง ฐานะของเจ๋อในแก๊งขยับสูงขึ้น ขณะที่ฐานะการเงินก็ฟู่ฟ่าร่ำรวย และในช่วงนี้ ณ วัย 25 ปี เขาพาคู่หมั้นอพยพไปตั้งถิ่นฐานในแคนาดาในปี 1988 ซึ่งเป็นช่วงใกล้กำหนดที่อังกฤษต้องส่งมอบฮ่องกงคืนสู่จีน (1990) และมีเศรษฐี มหาเศรษฐี และอภิมหาเศรษฐีฮ่องกงทยอยอพยพออกจากฮ่องกงไปตั้งถิ่นฐานใหม่ในประเทศต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แคนาดา
การอพยพย้ายประเทศสู่แคนาดาเป็นไปอย่างจริงจัง ประกอบด้วยเปลี่ยนสัญชาติเป็นชาวแคนาดา จัดงานสมรสกับคู่หมั้นที่อพยพไปด้วยกัน และตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนที่โทรอนโต ไปจนถึงการนำคุณพ่อคุณแม่ของตน อีกทั้งคุณพ่อตาคุณแม่ยายให้อพยพตามไปใช้ชีวิตในแคนาดา โดยทั้งหมดพักอาศัยในนิวาสสถานเดียวกัน การที่เจ๋อสามารถอำนวยการทั้งหมดนี้ได้ หมายถึงว่าเขาต้องมีเงินไม่น้อยกว่าระดับมหาเศรษฐี
ในเวลาเดียวกัน การย้ายถิ่นกลายเป็นการขยายธุรกิจยาเสพติดบนทวีปอเมริกาเหนือด้วย และน่าจะเติบใหญ่ขยายวงอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นสองปี ด้วยผลงานอาชญากรรมที่น่าพอใจ เจ๋อสามารถไต่ระดับขยับขึ้นเป็นสมาชิกแก๊งระดับกลางได้ในปี 1990 ยิ่งกว่านั้น ภายในห้วงเวลาเพียงสองสามปี เจ๋อตกเป็นที่จับจ้องของตำรวจเอฟบีไอแคนาดา (อาร์ซีเอ็มพี) ในฐานะกลไกหนึ่งของการค้ายาเสพติดระดับโลก
ยุคตั้งไข่ของโลกาภิวัตน์แห่งธุรกิจยาเสพติด : เอเชียแปซิฟิก-อเมริกา-ยุโรป
เนชั่นแนลโพสต์ สื่อออนไลน์แคนาดา รายงานว่า เมื่อต้นทศวรรษ 1990 ในการสืบสวนคดียาเสพติดของตำรวจอาร์ซีเอ็มพีแคนาดา ตำรวจเริ่มเห็นตัวตนของเจ๋อร่วมอยู่ในขบวนการค้ายาของบรรดาแก๊งมาเฟียในโทรอนโต และพบว่าเครือข่าย Big Circle Boys จากฮ่องกงได้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาชญากรรมโลกที่ใช้ทุกเล่ห์กลทุกช่องทางทุกสายสัมพันธ์ในการลักลอบนำเข้าส่งออกและซื้อขายยาเสพติดระหว่างประเทศ
นอกจากนั้น ผลการสืบสวนสอบสวนพบว่าวงการยาเสพติดโลกสร้างขึ้นบนความเชี่ยวชาญเฉพาะทางของหลากหลายเครือข่ายอาชญากรในภูมิภาคต่างๆ ได้แก่ มาเฟียตระกูลริซซูโตแห่งมอนทรีออล ภายใต้บิ๊กบอสของพวกนักเลงหัวไม้ผู้ทรงอำนาจ นามว่า วีโต้ ริซซูโต ; บรรดาขบวนอาชญากรในมหานครนิวยอร์ก; เหล่าสมาชิกของแก๊งเอ็นดราเกต้าในอิตาลี; บรรดาผู้ลักลอบค้ายาเสพติดในโคลัมเบีย ; และพวก Big Circle Boys ในโทรอนโตและในเอเชีย
อาชญากรทั้งปวงเหล่านี้ลักลอบขนเฮโรอีนจากเอเชียไปยังแคนาดา ซึ่งจะถูกกระจายส่งไปยังสหรัฐอเมริกาและอิตาลี และในทางกลับกัน ก็ลักลอบขนโคเคนจากโคลอมเบียและฟลอริดาไปขายในแคนาดาและเอเชีย เนชั่นแนล โพสต์รายงาน และบอกด้วยว่าการค้นพบเส้นทางและเครือข่ายดังกล่าวเป็นการส่องทางสว่างให้ฝ่ายปราบปราม เห็นแนวโน้มการเกิดโลกาภิวัตน์แห่งอาชญากรรมโลกที่มีการจัดระบบเป็นอย่างดี ทั้งนี้ เจ๋อถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้บริหารจัดการทั้งหมด
“ในช่วงแรกพวกอาชญากรอิตาเลียนมักจะไม่ยุ่งกับเหล่าแก๊งเอเชีย” เล่าโดยแลร์รี ทรอนสตัด อดีตจ่าตำรวจของอาร์ซีเอ็มพีแคนาดา ซึ่งอยู่ในทีมสืบสวนขบวนการค้ายาเสพติดยุคที่เริ่มมีการจับจ้องความเคลื่อนไหวของเจ๋อ และคุมหน่วยปราบปรามมาเพียในโทรอนโต
“พวกนี้อาจจะมีการซื้อยาจากแก๊งเอเชีย แต่จะไม่ไว้ใจแก๊งนี้ถึงขนาดที่จะยอมขายของให้ กระนั้นก็ตาม พวกนี้สนใจเฮโรอีน เพราะจีนมีเฮโรอีนคุณภาพดีที่สุด และอันที่จริงยาเสพติดจากจีนน่าจะมีคุณภาพดีที่สุดทุกตัว ยกเว้นเฉพาะในเรื่องของโคเคน” ทรอนสตัดกล่าว
ทะยานสูงด้วยกลยุทธ์ประสานความร่วมมือเหล่าเครือข่ายอาชญากร 3 ทวีป
ทรอนสตัดชี้ด้วยว่า เจ๋อเห็นข้อดีของการร่วมมือหลังจากที่ทำงานร่วมกันกับตระกูลริซซูโต ซึ่งล้วนแต่คุมธุรกิจด้วยการจับมือสมานฉันท์ มากกว่าจะกำหมัดต่อสู้
เจ๋อถูกกล่าวหาว่าใช้รูปแบบการดำเนินงานด้วยการสมานฉันท์ในการสร้างความรุดหน้าสู่ความสำเร็จ
ในที่สุด เจ๋อก็ชนปังเข้ากับกองกำลังเฉพาะกิจร่วมสามชาติ ได้แก่ ตำรวจอาร์ซีเอ็มพีแคนาดา เอฟบีไอ และตำรวจอิตาเลียน และท้ายที่สุดแล้วก็สามารถร่วมมือกันโค่นอาชญากรรมเฮโรอีนและโคเคนสำเร็จ
เจ๋อถูกจับกุมที่นิวยอร์กในปี 1998 และถูกดำเนินคดีด้วยหลักฐานแน่นหนาซึ่งส่วนใหญ่เป็นการบันทึกเสียงที่ดักฟังในแคนาดา และพยานบุคคล 1 นาย คือ เจ้าหน้าที่จีโน่ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่เอฟบีไอที่สหรัฐฯ ส่งไปช่วยตำรวจอาร์ซีเอ็มพีแคนาดา โดยปลอมตัวแทรกซึมเข้าสู่ขบวนการอาชญากรในแคนาดา ซึ่งเป็นภารกิจภายใต้โค้ดลับว่า โปรเจ็กต์โอนิก
เจ๋อซึ่งใช้ล่ามแปลภาษากวางตุ้ง-อังกฤษ ได้ขอประกันตัวด้วยหลักทรัพย์มหาศาล ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ 3 แห่งในแคนาดา กับอีก 1 แห่งในฮ่องกง แต่ผู้พิพากษาไม่อนุมัติ เพราะเจ๋อมีสายสัมพันธ์แข็งแกร่งมากมายภายในแคนาดาและจีน
เจ๋อรับสารภาพว่าได้สมคบกันกระทำความผิดด้วยการนำเฮโรอีนเข้าสู่สหรัฐฯ และคดีสิ้นสุดในปี 2000 โดยที่เจ๋อถูกตัดสินจำคุก 9 ปี
ในเวลาต่อมา เจ๋อยื่นฟ้องรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อที่จะขอโอนย้ายไปรับโทษจำคุกที่แคนาดา เขากล่าวต่อศาลว่าเสียใจอย่างยิ่งกับอาชญากรรมที่ตนมีส่วนเกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตาม เขาเป็นฝ่ายแพ้ ในการนี้รัฐบาลสหรัฐฯ ระบุชัดเจนว่า ในการลักลอบนำเฮโรอีนเข้าสู่สหรัฐฯ นั้น เขามีบทบาทในระดับบริหารจัดการ ดังนั้นเขาจึงไม่เข้าข่ายที่จะได้สิทธิดังกล่าว
ในคำกล่าวหาฟ้องร้องดำเนินคดีต่อเจ๋อนั้น เขาถูกระบุว่าเป็นผู้รวบรวมหลากหลายกลุ่ม อาชญากรในเอเชียซึ่งเคยเป็นคู่แข่งแย่งชิงตลาดยาเสพติด ให้หันมาร่วมกันสร้างเครื่องจักรที่เดินเครื่องอย่างราบรื่น เพื่อให้สามารถดำเนินงานความร่วมมือระดับโลกอย่างมีประสิทธิภาพ
ผงาดกลับสู่ความเป็นเจ้าพ่อยาเสพติดด้วยสารพัดนวัตกรรม
เจ๋อพ้นโทษออกมาในปี 2006 และเดินทางกลับฮ่องกง กลยุทธ์ที่ดูเหมือนเขาเร่งดำเนินการคือสร้างภาพลักษณ์ความรุ่มรวยฟุ้งเฟ้อหรูหราเพื่อเรียกความเชื่อมั่นจากกลุ่มอาชญากรทั้งปวงว่า “เจ้าพ่อได้ผงาดกลับคืนสู่เวทียาเสพติดแล้ว” เขาเดินทางข้ามประเทศไปมาด้วยเครื่องบินเจ็ทตส่วนตัว ระหว่างมาเก๊า โทรอนโต ฮ่องกง ไต้หวัน และประเทศไทย เขาเข้าพักเฉพาะในรีสอร์ตที่แพงที่สุดเท่านั้น เขาโชว์พาวด้วยการละเลงเงินหมดไป 66 ล้านดอลลาร์ในกาสิโนหรูของมาเก๊าภายในเวลาเพียงค่ำคืนเดียว และเขาจ้างกองทัพนักมวยไทยมาเป็นบอดี้การ์ดวันละสามกะเพื่อดูแลความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง ไอบีไทมส์เล่าอย่างนั้น
เมื่อกลับเข้าสู่ธุรกิจใต้ดินแห่งการลักลอบขนส่งยาเสพติด เจ๋อสร้างสุดยอดนวัตกรรม คือ เขาและภรรยาเปิดธุรกิจให้บริการส่งยาเสพติดแบบมีการันตีว่าไม่สูญเงิน ต่อให้การลักลอบขนส่งยาเสพติดเสียท่า ถูกตำรวจจับและยึดของกลาง นักค้าของเถื่อนที่ใช้บริการของเจ๋อจะได้รับเงินค่าสินค้าอย่างแน่นอน
ความใจถึงพึ่งได้ของเจ๋อแผ่อิทธิพลไปดึงดูดใจของชาวแก๊งทรชนรายยักษ์ทั้ง 5 ในฮ่องกง มาเก๊า และไต้หวัน ได้แก่ แก๊ง Big Circle Boys, แก๊ง The 14K, แก๊ง Wo Shing Wo หรือ All Hong Kong, แก๊ง Sun Yee On แห่งมาเก๊า และแก๊ง Bamboo Union แห่งไต้หวัน ไอบีไทมส์รายงานว่าเจ๋อสามารถยุติการต่อสู้แย่งชิงความเป็นเจ้าซึ่งแก๊งทั้ง 5 โรมรันเลือดตกยางหัวออกได้สำเร็จ และก่อตัวขึ้นเป็นเครือข่ายเดียวกัน
นอกจากนั้น ในด้านของบรรจุภัณฑ์แพกเกจจิ้งก็มีการพัฒนาให้ง่ายขึ้นต่อการลักลอบค้า โดยบรรจุลงในถุงชาซองเล็กๆ ที่สามารถเล็ดรอดความสงสัยของทางการ
กลยุทธ์ต่างๆ ของเจ๋อสามารถสร้างกำไรมหาศาลกลายเป็นความประทับใจในบรรดากลุ่มต่างๆ ภายในเครือข่าย พร้อมกับส่งให้เจ๋อโดดเด่น
ออสเตรเลียเอาจริง ออกปฏิบัติการโค่นราชายาเสพติดให้จงได้
ธุรกิจใต้ดินของเจ๋อเฟื่องฟูสุดขีดในออสเตรเลีย กระทั่งว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติของออสเตรเลียหรือ AFP จะไม่ยอมทนอีกต่อไป ออสเตรเลียออกหมายจับเจ๋อเมื่อปี 2019 ซึ่งเป็นผลโยงใยมาจากปฏิบัติการโวลันเต้ ที่ตำรวจ AFP เป็นหัวหอกในการถล่มเครือข่ายอาชญากรรมโลกที่ดำเนินงานในห้าประเทศ และ AFP ยังรับบทหัวหอกในการสืบสวนข้ามชาติ ที่มีโค้ดลับว่าปฏิบัติการกุงกูร์เพื่อเจาะลึกเจ๋อและเครือข่าย อันประกอบด้วยหน่วยงานประมาณ 20 แห่งจากสิบกว่าประเทศ รอยเตอร์รายงาน
“เครือข่ายของเจ๋อพุ่งเป้าที่ออสเตรเลียตลอดหลายปีที่ผ่านมา มีการนำเข้าและจัดจำหน่ายยาเสพติดผิดกฎหมายเป็นจำนวนมหาศาล มีการฟอกเงินที่ได้จากอาชญากรรม” AFP ให้สัมภาษณ์แก่รอยเตอร์ และรอยเตอร์พบในเอกสารจำนวนมากว่าปฏิบัติการฟอกเงินที่เครือข่ายของเจ๋อดำเนินการอยู่นั้นกระจายไปในธุรกิจต่างๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ธุรกิจกาสิโน ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
ในที่สุด ตำรวจเนเธอร์แลนด์สามารถจับกุมเจ๋อได้สำเร็จที่สนามบินสคิปโฮล กรุงอัมสเตอร์ดัม เมื่อวันศุกร์ที่ 22 มกราคม 2021 ขณะเตรียมจะเดินทางไปแคนาดา โดยเจ๋อมิได้ต่อสู้ดิ้นรนหนีการจับกุมตัวครั้งนี้ ทั้งนี้ เป็นไปตามตามหมายจับของ AFP ที่ประสานกับองค์การตำรวจสากล (Interpol) เจ๋อจะถูกส่งตัวไปยังออสเตรเลียในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน หลังจากขึ้นศาลเนเธอร์แลนด์เรียบร้อยแล้ว
ด้าน เจเรมี ดักลาส แห่ง UNODC แสดงความยินดีในความสำเร็จนี้ว่าเป็นผลงานยิ่งใหญ่ แต่บอกว่าการจับกุมเจ๋อชือล็อปได้นั้น อาจไม่ส่งผลสั่นสะเทือนวงการอาชญากรรมยาเสพติดข้ามชาติในเอเชียแปซิฟิก
“สำนักงานตำรวจแห่งชาติของออสเตรเลียได้ตัวเจ๋อไปตามต้องการแล้ว แต่องค์กรยังดำรงอยู่ ลูกค้าที่ต้องการยาบ้าก็ยังรอซื้อ สักพักก็จะมีคนใหม่เข้าไปแทนที่เจ๋อ” ดักลาสกล่าว และบอกว่าเป็นการยากที่การจับกุมเจ๋อจะส่งผลกระทบต่อการลักลอบค้ายาเสพติดในระยะอันสั้นนี้ ตราบเท่าที่ธรรมาภิบาลภาครัฐยังอ่อนแอ และปัญหาคอร์รัปชั่นยังไม่ได้รับการแก้ไข
โดย รัศมี มีเรื่องเล่า
(ที่มา : รอยเตอร์, เว็บไซต์องค์การความมั่นคงโลก หรือ globalsecurity.org, เว็บไซต์ตำรวจคลองลาน กำแพงเพชร, เอเชียไทมส์, เว็บไซต์ข่าว International Business Times สิงคโปร์, เว็บไซต์ข่าว National Post แคนาดา)