ทนายความ 5 คนในทีมแก้ต่างของ “ทรัมป์” พร้อมใจลาออก ขณะที่เหลือเวลาอีกไม่ถึง 10 วันก่อนที่สภาจะเริ่มขั้นตอนการไต่สวนเพื่อถอดถอนเขา เนื่องจากมีความเห็นขัดแย้งกันเรื่องที่อดีตประธานาธิบดีต้องการใช้ข้อกล่าวอ้างมีการโกงเลือกตั้งเพื่อสู้คดี อย่างไรก็ตาม ในอีกด้านหนึ่ง ผู้นำ ส.ส.ของรีพับลิกันในสภาล่างดอดพบทรัมป์ที่ฟลอริดา ขอให้ช่วยสนับสนุนการเลือกตั้งอีก 2 ปีข้างหน้า บ่งชี้ว่า นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์พันล้านผู้นี้ยังมีอิทธิพลคับพรรค
สื่อสหรัฐฯหลายราย โดยที่มีโทรทัศน์ข่าวซีเอ็นเอ็นเป็นเจ้าแรก รายงานเมื่อวันเสาร์ (30 ม.ค.) โดยอ้างแหล่งข่าวที่ไม่เปิดเผยชื่อว่า ทนายความ 5 คน ซึ่งรวมถึง บุตช์ บาวเวอร์ส และ เดเบอราห์ บาร์บิเออร์ ที่คาดกันว่าจะเป็นผู้นำทีมทนายของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ตัดสินใจถอนตัวเนื่องจากไม่เห็นด้วยที่ทรัมป์ต้องการใช้ข้ออ้างที่ไม่มีมูลเรื่องการโกงการเลือกตั้งอย่างมโหฬาร แทนการโต้แย้งว่าการที่รัฐสภาจัดไต่สวนประธานาธิบดีที่พ้นตำแหน่งไปแล้วถือเป็นการละเมิดรัฐธรรมนูญ แหล่งข่าวยังสำทับว่า ทรัมป์ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นที่ต่างจากความเห็นของตน
ในเวลาต่อมา เจสัน มิลเลอร์ ที่ปรึกษาของทรัมป์ทวิตตอบโต้ข่าวของซีเอ็นเอ็นว่า ยังไม่มีการตัดสินใจขั้นสุดท้ายเกี่ยวกับทีมกฎหมายในขณะนี้
วุฒิสภาสหรัฐฯนั้นเตรียมเปิดการไต่สวนในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ คดีที่สภาผู้แทนราษฎรฟ้องร้องกล่าวโทษเพื่อถอดถอนทรัมป์เป็นครั้งที่ 2 จากความผิดฐานปลุกม็อบรัฐสภาเมื่อต้นเดือนมกราคม ดังนั้นการที่ทีมทนายของเขาเกิดปัญหาขึ้นมาเช่นนี้ จึงถือเป็นข่าวไม่ดี
กระนั้น ทรัมป์มีโอกาสค่อนข้างแน่นอนอยู่แล้วที่จะรอดจากการถูกตัดสินว่าผิด เนื่องจากพวกวุฒิสมาชิกรีพับลิกันเกือบทั้งหมดส่งสัญญาณชัดเจนว่า จะคัดค้านการไต่สวนเพื่อถอดถอน แต่อาจประนีประนอมกับฝ่ายเดโมแครต โดยเปลี่ยนมาเป็นการออกมติประณามตำหนิทรัมป์แทน
ทั้งนี้ สัปดาห์ที่ผ่านมา มีวุฒิสมาชิกรีพับลิกันเพียง 5 คนเข้าร่วมกับวุฒิสมาชิกเดโมแครต 50 คน โหวตให้เดินหน้าไต่สวนเพื่อถอดถอนทรัมป์ และเวลานี้ไม่มีแนวโน้มที่จะมีวุฒิสมาชิกรีพับลิกันอย่างน้อย 17 คน หันมาร่วมกับฝ่ายเดโมแครตเพื่อโหวตว่าทรัมป์มีความผิดจริง โดยเกณฑ์ขั้นต่ำที่จะเอาผิดถอดถอนทรัมป์ได้คือต้องได้เสียง 2 ใน 3 ในสภาสูง ซึ่งก็คือ 67 เสียงขึ้นไป
ถึงแม้มติประณามถือว่ามีความรุนแรงน้อยกว่าการถอดถอน แต่ก็นับเป็นแถลงการณ์อย่างเป็นทางการว่า วุฒิสภาไม่ยอมรับการกระทำตามที่ถูกกล่าวหาของทรัมป์
ทว่า ไม่เหมือนกับการถูกถอดถอน มติเช่นนี้ยังเปิดโอกาสให้ทรัมป์สามารถลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีในสมัยต่อๆ ไปได้
ในอีกด้านหนึ่ง เมื่อวันเสาร์ (30) ที่ผ่านมา เซฟ อเมริกา ซึ่งเป็นคณะกรรมการดำเนินการทางการเมืองที่เชื่อมโยงกับทรัมป์ รายงานว่า ส.ส. เควิน แมคคาร์ธี ผู้นำของรีพับลิกันในสภาผู้แทนราษฎร ได้เข้าพบทรัมป์ที่รีสอร์ตส่วนตัวในฟลอริดา เพื่อขอให้ทรัมป์สนับสนุนสมาชิกพรรคในการทวงคืนอำนาจควบคุมสภาล่างจากเดโมแครตในการเลือกตั้งปี 2022 ความเคลื่อนไหวเช่นนี้เห็นกันว่า คือการตอกย้ำว่าทรัมป์ยังคงมีอิทธิพลท่วมท้นในรีพับลิกัน
แมคคาร์ธีอ้างว่า คะแนนนิยมในตัวทรัมป์ไม่เคยแข็งแกร่งเท่าวันนี้เลย ส.ส.ผู้นี้เป็นหนึ่งในพันธมิตรที่สนับสนุนคำกล่าวอ้างที่ไม่มีหลักฐานของทรัมป์เรื่องการโกงเลือกตั้ง แต่ได้กันตัวเองออกห่างทันทีที่อดีตประธานาธิบดีถูกกล่าวหาว่า ปลุกปั่นผู้สนับสนุนให้บุกรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 มกราคม ด้วยการประกาศยอมรับชัยชนะในการเลือกตั้งของโจ ไบเดน และว่าทรัมป์ต้องรับผิดชอบเหตุการณ์ดังกล่าว
แต่วันพฤหัสฯ (28 ม.ค.) ที่ผ่านมา ดูเหมือนแมคคาร์ธีกลับลำอีกหน หลังมีภาพถ่ายคู่กับทรัมป์พร้อมออกคำแถลงา ทรัมป์ตกลงสนับสนุนผู้สมัครของพรรครีพับลิกันในการเลือกตั้งสภาสูงและสภาล่างปี 2022 และกล่าวโจมตีเดโมแครตที่ยื่นถอดถอนทรัมป์ที่ขณะนี้เป็นเพียงพลเมืองคนหนึ่งเท่านั้น
ด้าน แคเทอรีน คลาร์ก สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคเดโมแครต เผยว่า ตกใจที่ได้ยินข่าวแมคคาร์ธีกลับไปหนุนทรัมป์อีก ทั้งๆ ที่เกิดเหตุปลุกระดมผู้สนับสนุนบุกสภา
แม้ไม่ชัดเจนว่า ทรัมป์ยังคงมีอิทธิพลทางการเมืองอยู่มากน้อยแค่ไหน แต่หลังจากผลโพลเมื่อเร็วๆ นี้พบชาวรีพับลิกันยังคงสนับสนุนเขาอย่างแข็งแกร่ง จึงเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าพวกนักการเมืองรีพับลิกันจำนวนมากจะยังอยู่ภายในวงโคจรของทรัมป์ หรืออย่างน้อยก็ไม่กล้าประกาศแตกหักอย่างโจ่งแจ้ง
คาร์ลอส เคอร์เบโล อดีตสมาชิกรัฐสภาสังกัดรีพับลิกัน ชี้ว่า ในรีพับลิกันแบ่งออกเป็น 2 ฝ่ายคือฝ่ายทรัมป์ที่ต้องการเล่นงานพวกที่คัดค้านคำโกหกของทรัมป์ กับฝ่ายผู้นำเดิมที่ต้องการจัดการฝ่ายทรัมป์ เพียงแต่ว่าตอนนี้ฝ่ายทรัมป์ดูมีอำนาจเหนือกว่า ซึ่งถ้าคนเหล่านี้สละเรือ รีพับลิกันจะตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากในการเลือกตั้งปีหน้า