เอเจนซีส์ – แม้ไบเดนเข้าสู่ทำเนียบขาวเรียบร้อยแล้ว และทรัมป์เริ่มต้นชีวิตอดีตประธานาธิบดีในรีสอร์ตของตัวเองที่ฟลอริดา แต่อาฟเตอร์ช็อกทางการเมืองของอเมริกาดูเหมือนยังไม่จบง่ายๆ โดยทาง "นิวยอร์ก ไทมส์" แฉทรัมป์เคยร่วมกับเจ้าหน้าที่คนหนึ่งในกระทรวงยุติธรรม วางแผนปลดรักษาการรัฐมนตรีออก รวมทั้งบีบให้สมาชิกพรรครีพับลิกันในรัฐจอร์เจียเปลี่ยนผลการเลือกตั้งให้ตัวเองกลับมาเป็นฝ่ายชนะในรัฐนั้น
ขณะเดียวกัน คริสโตเฟอร์ มิลเลอร์ อดีตรักษาการรัฐมนตรีกลาโหม ยอมรับกับวานิตี้ แฟร์ว่า ตั้งเป้าหมายไว้ 3 ข้อตอนที่เข้ารับงานนี้ในเดือนพฤศจิกายน ได้แก่ ไม่มีทหารลุกขึ้นมาปฏิวัติ ไม่มีสงครามใหญ่ และไม่มีทหารบนถนน แต่เมื่อเวลาราว 14.30 น. ของวันที่ 6 ที่ผ่านมา เป้าหมายข้อสุดท้ายมีอันถูกลบทิ้ง
เนื่องจากวันนั้นคือวันที่ม็อบที่ได้รับการยั่วยุจากอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ บุกเข้าไปในอาคารรัฐสภาในกรุงวอชิงตันเพื่อลักพาตัวหรือสังหารสมาชิกรัฐสภาตามที่มีบางคนถูกกล่าวหา และสุดท้ายมีผู้ถูกจับกุมกว่า 100 คน และทำให้ทรัมป์ต้องเข้าสู่กระบวนการถอดถอนรอบสองซึ่งจะเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 8 เดือนหน้า
หากถูกตัดสินว่าผิดจริง มีแนวโน้มสูงสุดว่า ทรัมป์จะไม่สามารถลงเลือกตั้งอีกครั้ง
ส่วนเรื่องความพยายามอย่างไม่ลดละและอาจผิดกฎหมายของทรัมป์ในการเปลี่ยนผลการเลือกตั้งในจอร์เจียนั้นมีการรายงานอย่างกว้างขวางก่อนหน้านี้ ซึ่งแม้ทำสำเร็จ ทรัมป์ก็ยังมีคะแนนจากคณะผู้เลือกตั้งไม่พอที่จะพลิกกลับมาชนะโจ ไบเดน ผู้กลายเป็นประธานาธิบดีคนที่ 46 ของอเมริกาในขณะนี้อยู่ดี
วันที่ผู้สนับสนุนทรัมป์บุกเข้าไปในแคปิตอลหรืออาคารรัฐสภา ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 5 คนนั้น สมาชิกรีพับลิกัน 147 คนทั้งในสภาล่างและสภาสูงได้ยื่นคัดค้านผลคะแนนจากคณะผู้เลือกตั้ง แต่ความพยายามดังกล่าวล้มเหลวเช่นเดิม
นอกจากนั้น ยังมีการตั้งคำถามเกี่ยวกับการรับมือของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายและเพนตากอนต่อม็อบบุกสภา ทั้งในเรื่องที่ม็อบสามารถฝ่าหน่วยรักษาความปลอดภัยเข้าไปได้อย่างง่ายดาย และความล่าช้า
กว่าที่กองกำลังป้องกันประเทศจะเดินทางไปถึงที่เกิดเหตุ เหตุการณ์วันนั้นทำให้ตำรวจสภานายหนึ่งเสียชีวิต และอีกนายกลายเป็นคนดังหลังจัดการให้สมาชิกสภารอดพ้นจากเงื้อมมือผู้บุกรุก
มิลเลอร์ให้สัมภาษณ์ว่า มีการประชุมครั้งแล้วครั้งเล่าและเขาเฝ้าติดตามสถานการณ์พร้อมสวดอ้อนวอน กระทั่งทีวีออกข่าว ทุกคน (ประธานเสนาธิการร่วมทางทหาร รัฐมนตรีทบวงกองทัพบก ฯลฯ ถึงพุ่งไปรวมกันที่ห้องทำงานของเขาและตัดสินใจว่า จำเป็นต้องเรียกกองกำลังป้องกันประเทศมาปราบม็อบ
แคช พาเทล ผู้จงรักภักดีต่อทรัมป์และได้รับแต่งตั้งเป็นหัวหน้าคณะทำงานของมิลเลอร์ รวมทั้งยังถูกกล่าวหาว่า ขัดขวางการผ่องถ่ายอำนาจของไบเดน รับลูกว่า สุดท้ายนายกเทศมนตรีดีซีก็เห็นว่า ต้องการกำลังเสริม และตำรวจสภา หน่วยงานของรัฐบาลกลาง และหน่วยอารักขาประธานาธิบดี (ซีเคร็ต เซอร์วิส) จึงติดต่อขอกำลังเสริม และเพนตากอนเริ่มดำเนินการ
มิลเลอร์ตอบโต้ว่า ข้อกล่าวหาเพนตากอนรับมือล่าช้าเป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผลโดยสิ้นเชิง และเสริมว่า ตนแทบรอไม่ไหวที่จะไปยังรัฐสภาเพื่อหารือกับสมาชิกคองเกรสส์
เมื่อถึงพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของไบเดนในวันที่ 20 ทหารจากกองกำลังป้องกันประเทศ 25,000 นายถูกเกณฑ์ไปรักษาความปลอดภัยวอชิงตันซึ่งมีการล็อกดาวน์ย่านใจกลางเมืองแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นอกจากนั้นยังมีทหารเฝ้าอารักขาอาคารรัฐสภาของรัฐต่างๆ เพื่อป้องกันการประท้วงและการโจมตีของกลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์ ซึ่งสุดท้ายไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นแต่อย่างใด
นิวยอร์ก ไทมส์แจงว่า ขณะที่ม็อบบุกสภาไม่สามารถเปลี่ยนผลการเลือกตั้งได้ แผนปลดเจฟฟรีย์ โรเซน รักษาการรัฐมนตรียุติธรรม ของทรัมป์ก็ล้มเช่นเดียวกัน
หนังสือพิมพ์ฉบับนี้แฉต่อว่า บรรดาผู้นำในกระทรวงยุติธรรมถึงกับอึ้งอยู่นานตอนที่ได้ฟังเรื่องราวที่ทรัมป์กับเจ้าหน้าที่กระทรวงฯ เจฟฟรีย์ คลาร์ก คุยกันว่า ไม่เชื่อผลเลือกตั้งและเห็นว่า ควรฟ้องร้องและกดดันนักการเมืองในจอร์เจีย
ทว่าสมาชิกรีพับลิกันในรัฐดังกล่าว ซึ่งรวมถึงไบรอัน เคมป์ ผู้ว่าการรัฐ และแบรด ราฟเฟนเปอร์เกอร์ เลขาธิการรัฐ ต่างไม่ยอมทำตามที่ทรัมป์เรียกร้องและข่มขู่
ทั้งนี้ จากบทสัมภาษณ์คลาร์กที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 19 ที่ผ่านมา บลูมเบิร์ก ลอว์ระบุว่า คลาร์กมีชื่อเสียงในเรื่องการผลักดันหลักการทางกฎหมายแนวอนุรักษนิยมที่ก้าวร้าว ซึ่งมักได้รับการยกยอปอปั้นจากเพื่อนร่วมงาน แต่บ่อยครั้งทำให้นักกฎหมายมืออาชีพในทีมกุมขมับ
นิวยอร์ก ไทมส์เล่าต่อว่า บรรดาผู้นำในกระทรวงยุติธรรมตัดสินใจว่า ถ้าโรเซนถูกปลด และคลาร์กขึ้นรักษาการแทน พวกเขาจะพร้อมใจลาออก
เมื่อวันศุกร์ (22 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวของวอชิงตัน เอ็กซาไมเนอร์ พบทรัมป์นั่งอยู่ที่โต๊ะประจำในห้องอาหารในกอล์ฟคลับของตัวเองที่เวสต์ ปาล์ม บีช และเขาให้สัมภาษณ์ว่า กำลังทำบางอย่างแต่ยังไม่แล้วเสร็จ ก่อนที่ผู้ช่วยจะเข้ามาขัดจังหวะเพื่อยุติบทสนทนาอย่างรวดเร็วและสุภาพ