xs
xsm
sm
md
lg

แฉ ‘บิ๊กตำรวจสภาคองเกรส-เพนตากอน’ ปล่อยกองทัพสาวกทรัมป์ก่อการร้าย ถล่มนาน 4 ชม. ทหารเพิ่งเข้าไปช่วย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


15.48 น. ตำรวจรัฐสภาได้ลูกฮึด ลุกขึ้นกวาดจับกลุ่มหัวโจกผู้ก่อการร้าย และดาหน้าบอมบ์แก๊ซน้ำตา-ระเบิดแสงจำนวนมหาศาลจนควันและแสงคลุ้งครอบพื้นที่ กวาดต้อนผู้บุกรุกนับพันพ้นออกจากอาคารแคปิตอลสำเร็จ ตำรวจนอกตัวอาคารรับลูกต่อ ได้กำลังเพิ่มเติมเมื่อราว 16.30 น. ทั้งตำรวจนิวเจอร์ซีย์ เอฟบีไอและหลายหน่วยงานความมั่นคง ผลักดันกองทัพสาวกตัวแกร่งของปธน.ทรัมป์ที่จะยื้อสู้ต่อ หลายชั่วโมงจึงพ้นแผ่นดินรัฐสภาอเมริกัน ส่วนทหารเพิ่งเข้าไปช่วยเมื่อ 17.40 น.
ภายใต้บรรดาธงรบที่เขียนชื่อของโดนัลด์ ทรัมป์ ไว้อย่างอหังการ เหล่าสาวกเกรียนของประธานาธิบดีผู้ใกล้จะต้องพ้นตำแหน่ง ช่วยกันตรึงร่างบอบช้ำของตำรวจนายหนึ่งเบียดบดกับบานประตูโลหะกั้นทางเข้าสู่ด้านในอาคาร ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดและเสียงร้องขอความช่วยเหลือของเขาถูกบันทึกอย่างละเอียดในคลิปวิดีโอ ในขณะที่เกรียนบ้าคลั่งอีกส่วนหนึ่งช่วยกันถล่มเจ้าหน้าที่ตำรวจปางตายอีกนายหนึ่งด้วยการฟาดถังดับเพลิงไปบนหมวกเหล็ก ส่งผลให้เจ้าหน้าที่นายนี้เสียชีวิตในวันต่อมา และยังจับตำรวจอีกนายหนึ่งทุ่มบอดี้สแลมจนกลิ้งตกไปในฝูงชน เอพีเล่าอย่างนั้น

นาทีชีวิต! ตำรวจนครบาลวอชิงตัน ดี.ซี.หลายนายที่เข้ามาช่วยปฏิบัติการของตำรวจแคปิตอลฮิลเกือบสิ้นชีพด้วยน้ำมือผู้ก่อการร้าย ซึ่งพยายามแหกด่านกั้นประตูเข้าอาคารชั้นพื้นดินทางด้านหลัง ในภาพคือตำรวจที่ถูกเบียดบดกับบานประตูโลหะ ปากที่ร้องขอความช่วยเหลือ มีเลือดกบเต็ม แต่บุญรักษา ตำรวจนายอื่นๆ ช่วยกั้นพื้นที่และดึงตัวให้พ้นออกมาได้ (ข้อมูลจากบีบีซี)

ตำรวจนครบาลวอชิงตัน ดี.ซี. อีกนายหนึ่งในจุดวิกฤตใกล้เคียงกัน เกือบเหลือแต่ชื่อ เพราะเพลี่ยงพลั้ง ถูกฝูงชนกระชากตัวออกจากช่องทางเข้าออก ลากหัวซุนลงบันได เตรียมจะประชาทัณฑ์ แต่เขาร้องขอชีวิต บอกว่าลูกยังเล็ก จึงมีหลายคนตรงนั้นช่วยกันตัวออกมาได้อย่างปลอดภัย (ข้อมูลจากบีบีซี)
“จับไมค์ เพนซ์ แขวนคอ!” ผู้ก่อการร้ายนับร้อยแห่งม็อบสาวกทรัมป์ประสานเสียงตะโกนโหวกเหวกขณะเบียดเสียดเบียดแย่งเข้าสู่ด้านในอาคารรัฐสภา พร้อมกับใช้ท่อเหล็กฟาดๆๆ ตำรวจทุกนายที่ขวางหน้า ผู้คนเหล่านี้ซึ่งอยู่ในอาการเลือดขึ้นหน้า มิได้เพียงแค่ตามล่าไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาเท่านั้น หากยังหมายหัวแนนซี เปโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎร ตลอดจนไล่ล่าสมาชิกรัฐสภาอีกมากมาย “พวกนั้นอยู่ไหน” ชาวม็อบทรัมป์ตะเบ็งกันให้ลั่น

ในเวลาไล่เลี่ยกัน บริเวณลานด้านนอกอาคารยังถูกจัดเตรียมให้คล้ายดังลานประหาร มีการสร้างตะแลงแกงพร้อมเชือกแขวนคอคน ตลอดจนอาวุธปืนและระเบิดแสวงเครื่องซุกซ่อนรอคอยที่จะทำการใหญ่

อัปยศอันทมิฬที่สุดครั้งนี้ของอเมริกา มิใช่อุบัติเหตุทางการเมือง แต่ถูกจัดเตรียมอย่างเป็นระบบ

ณ วันพุธที่ 6 มกราคม 2021 อัปยศอันทมิฬที่สุดครั้งหนึ่งของประชาธิปไตยอเมริกันบังเกิดขึ้น ในท่ามกลางขบวนประท้วงผลการเลือกตั้ง Save America Rally ซึ่งมีผู้สนับสนุนทรัมป์เข้าร่วมนับหมื่นราย มิได้มีเฉพาะเพียงประชาชนที่ประสงค์เพียงจะเข้าร่วมประท้วง ซึ่งเป็นการใช้สิทธิที่ให้ไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่ทว่าได้มีการจัดเตรียมกองกำลังที่เชี่ยวชาญการต่อสู้แฝงไปกับคลื่นมหาชน เอพีตั้งข้อสังเกต

กองกำลังเหล่านี้มีเป้าหมายแน่วแน่ที่จะเข้ายึดพื้นที่อันศักดิ์สิทธิ์ภายในอาคารที่ทำการรัฐสภา เพื่อตามล่าเหล่าผู้นำแห่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) โดยเฉพาะอย่างยิ่งรองประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา และประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งถูกประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจ ทั้งนี้ ดูเหมือนพวกเขาวาดหวังว่า หากจับกุมสำเร็จ กระบวนการรับรองผลเลือกตั้งประธานาธิบดีที่ว่า โจ ไบเดน เป็นผู้ชนะก็จะไม่สามารถดำเนินต่อได้

ประธานสภาฯ เปโลซี ให้สัมภาษณ์รายการ 60 มินิตส์ที่ออกอากาศทางช่องซีบีเอสในวันอาทิตย์ (10) ว่า มันโจ่งแจ้งมากว่าคนกลุ่มนี้มีการวางแผนและจัดระบบการปฏิบัติภารกิจกันมาอย่างดี มีผู้นำ มีการนำและการกำหนดทิศทางเป้าหมายไว้แล้วทั้งหมด ซึ่งก็คือต้องจับตัวประกันให้ได้

ผู้ก่อการร้ายแสดงความชำนาญด้านการสู้รบ ตลอดจนเตรียมเครื่องมือต่อสู้ตำรวจและอุปกรณ์มากมายเพื่อแหกเข้าสู่ด้านในของอาคารแคปิตอล
ปฐมบทแห่งการจลาจล ณ 12.40 น.

ภาพข่าวที่ถ่ายทอดสดจากหน้าเวทีปราศรัยของประธานาธิบดีทรัมป์และคณะ ทำให้คาดเดาได้ว่าจะเห็นสมรภูมิเดือดอย่างแน่นอน

ณ สวนสาธารณะเอลลิปเซ่ ข้างทำเนียบขาว ม็อบสาวกตัวก๋าของทรัมป์ถูกปลุกเร้าอารมณ์ฮึกเหิมปรี๊ดแล้วปรี๊ดอีกด้วยถ้อยคำร้อนแรงอย่างเช่น เราต้องไม่ยอมให้พวกโกงเลือกตั้งได้ชัยชนะ - สู้ให้ขาดใจดิ้น - พวกคุณไม่อาจได้ประเทศคืนมาด้วยความอ่อนแอ - ไปไต่สวนความจริงด้วยการประจัญบาน - ไปสอยพวกมีชื่อเสียงมาเตะก้นเล้ย

ม็อบสาวกทรัมป์ ณ สวนสาธารณะเอลลิปเซ่ ข้างทำเนียบขาว มีจำนวนมากกว่าหมื่นชีวิต ฝูงชนเหล่านี้เดินทางมาจากทั่วประเทศ เนื่องแน่นกระทั่งว่าโรงแรมที่พักทั้งหมดในวอชิงตัน ดี.ซี.พากันแน่นขนัด
ฝูงชนผู้ประท้วง Save America Rally เหล่านี้ ซึ่งถูกเร่งเร้าให้ช่วยพลิกผลการเลือกตั้ง พากันเกรี้ยวกร่างออกเดินไปตามถนนเพนซิลเวเนีย อเวนิว แห่ตรงไปยังทางเข้าด้านหน้าของเดอะแคปิตอลฮิล พื้นที่ตั้งของกลุ่มอาคารรัฐสภา แต่แล้วตรงท้ายของขบวนก็มีฝูงชนผู้ร้อนแรงส่วนหนึ่งแยกไปยังด้านหลังของกลุ่มอาคาร ซึ่งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของพื้นที่ ในบริเวณนั้น มีฝูงชนรวมตัวกันอยู่แล้วอีกหลายร้อยราย บลูมเบิร์ก นิวส์ รายงานสด

ณ 12.40 น. โดยประมาณ ฝูงชนที่ฮึกเหิมห้าวหาญนับพันตรงเข้าประจันหน้ากับแนวป้องกันของตำรวจ ซึ่งมีการตั้งแผงเหล็กกั้นจราจรเรียงต่อกันเป็นแนวยาว การปะทะรุนแรงปะทุทันทีในระหว่างฝูงชนผู้โกรธเกรี้ยวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจแคปิตอลฮิล ณ บริเวณริมนอกทางฝั่งตะวันตก

ตะลุมบอนระลอกแรก 15 นาที ชนะขาด แล้วไล่ตีตำรวจกระเจิง

“ทันทีที่ฝูงชนมาถึงก็เปิดฉากการต่อสู้ คนพวกนี้มาพร้อมกับสารพัดอุปกรณ์จลาจล ทั้งหมวกเหล็ก หน้ากากกันแก๊สน้ำตา สเปรย์พริกไทย ประทัด ชุดเครื่องมือไต่กำแพง!! วัตถุระเบิด ท่อเหล็ก ไม้เบสบอล” หัวหน้าตำรวจรัฐสภา (ตำรวจแคปิตอลฮิล) คือ สตีเวน ซุนด์ เล่าอย่างละเอียดให้แก่วอชิงตันโพสต์

ฝ่ายจลาจลใช้เวลาเพียง 15 นาทีก็สามารถใช้กำลังคนที่มหาศาลกว่า เฮละโลกันยื้อแผงเหล็กกั้นจราจรไปมากับฝ่ายตำรวจ ยังไม่ทันจะ 13.00 น. แนวแผงเหล็กกั้นก็ล้มระเนระนาดพังพาบไปกับพื้น แล้วฝ่ายจลาจลพากันดาหน้าฝ่าแนวป้องกันข้ามเข้าไปไล่ตีตำรวจ และตะลุยรุดหน้าสู่ด้านหลังของอาคารรัฐสภา ซีเอ็นเอ็นรายงานสด

แนวกั้นชั้นในบนลานด้านหลังของอาคารแคปิตอลเป็นแดนรบต่อเนื่องราวหนึ่งชั่วโมง แล้วด่านตำรวจก็แตกเพราะแพ้แรงฝูงชนที่มีจำนวนมหาศาล
หลังจากฝ่าแนวป้องกันชั้นนอก ฝูงชนก็เผชิญกับแนวกั้นชั้นใน ในการต่อสู้พัวพันราวหนึ่งชั่วโมง หลายคนฉีดแก๊สใส่ตำรวจ ใช้ท่อเหล็กฟาดตำรวจ และมีการฟาดถังดับเพลิงไปบนหมวกเหล็กของเจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่ง ตามด้วยการขว้างโทรโข่งใส่ตำรวจรายอื่นๆ พร้อมกันนี้มีผู้ก่อการจลาจลหลายรายหิ้วบันไดและเชือกขดใหญ่ติดมือไปดำเนินการขั้นต่อเนื่อง คือการบุกเข้าสู่ด้านในของอาคารรัฐสภา

ตั้งแต่ 13.10 น. ตำรวจนครบาล ดี.ซี. ได้รับแจ้งขอความช่วยเหลือจากตำรวจรัฐสภา และรุดมาถึงอาคารรัฐสภาจำนวน 100 นาย

สมรภูมิเดือดระหว่างตำรวจที่ป้องกันทางเข้าสู่ภายในอาคาร กับฝูงชนจำนวนมากที่เต็มไปด้วยอาวุธและพลังฝีมือการต่อสู้
ณ 13.09 น. ซุนด์ หัวหน้าตำรวจแคปิตอลฮิล (Chief of the US Capitol Police) แจ้งไปยังผู้รับผิดชอบดูแลความปลอดภัยของสภาทั้งสอง ได้แก่ เจ้าหน้าที่รับผิดชอบความปลอดภัยแห่งวุฒิสภา (Sergeant at Arms of the US Senate) ไมเคิล สเตงเกอร์ และเจ้าหน้าที่รับผิดชอบความปลอดภัยแห่งสภาผู้แทนฯ (Sergeant at Arms of the US House of Representatives) พอล เออร์วิง ขอให้ประกาศภาวะฉุกเฉิน อันเป็นขั้นตอนเบื้องต้นก่อนที่จะร้องขอความช่วยเหลือสนับสนุนจากกองกำลังรักษาชาติแห่งกรุงวอชิงตัน หรือ ดี.ซี.เนชันแนลการ์ด

สเตงเกอร์ และเออร์วิง ตอบว่าจะประสานขออนุมัติขึ้นไปตามลำดับ!! วอชิงตันโพสต์รายงานไว้อย่างนั้นในข่าววันที่ 11 มกราคม โดยอ้างอิงตามคำให้สัมภาษณ์ของซุนด์

ผังของกลุ่มอาคารแคปิตอลแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ในทางทิศใต้ เป็นสำนักงานและห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร (เลข 3) กับกลุ่มห้องโถงต่างๆ รวมถึง National Statuary Hall (เลข 5)  ส่วนทางทิศเหนือเป็นสำนักงานและห้องประชุมวุฒิสภา (เลข 4) กลุ่มตรงกลาง (เลข 6) เรียกว่าอาคาร Rotunda ซึ่งมีโดมครอบ เป็นโถงใหญ่เพื่อจัดพิธีสำคัญ  ทางด้านหน้า (เลข 2) เป็นทางเข้า มีบันไดกว้างขวางเพื่อเดินขึ้นสู่ชั้นที่ 1 ทั้งนี้จุดอ่อนของอาคารอยู่ด้านหลังซึ่งอยู่ทิศตะวันตก มีประตูเข้าอาคารจากลานระดับพื้นดิน บริเวณนี้เองที่ฝูงชนและผู้ก่อการร้ายเฮละโลเข้าไปถล่มแนวป้องกันต่างๆ และฝ่าเข้าด้านในอาคารผ่านช่องหน้าต่างบานสูงในหลายๆ จุด
หลัง 14.00 น.เล็กน้อย ม็อบห้าวเป้งสาวกทรัมป์แหกช่องหน้าต่างเข้าสู่ภายในอาคาร

การต่อสู้ระหว่างฝูงชนกับตำรวจแคปิตอลที่พยายามปิดกั้นและยันไม่ให้ฝูงผู้ก่อการร้ายฝ่าเข้าสู่ภายในของอาคารรัฐสภา เป็นไปอย่างดุเดือดในหลายประตูเข้าออก ภายใน 60 นาทีฝูงชนสามารถหักด่านแนวกั้นชั้นในของตำรวจทางฝั่งตะวันตก ซึ่งเป็นด้านหลังของอาคารแคปิตอลและมีการโรมรันยันกันไปมาหนักหน่วงสุดๆ แล้วกรูกันประชิดกำแพงและไต่ขึ้นไปในแนวตั้งฉาก 90 องศาซึ่งเป็นกิจกรรมที่ต้องมีร่างกายที่แข็งแรงและมีทักษะความชำนาญขั้นสูง จนกระทั่งขึ้นถึงลานระเบียงชั้นบนริมโถงทางเดินและห้องจัดแสดงงานศิลปะเชิงการเมือง

หลังจากนั้นเป็นปฏิบัติการทุบทำลายกระจกหน้าต่างด้วยวัตถุแข็งขนาดใหญ่ที่เตรียมมาพรักพร้อม ทำให้มีช่องทางเข้าสู่ด้านในอาคาร แล้วจึงทำการเปิดประตูต่างๆ ได้หลายจุด บีบีซีรายงานไว้อย่างนั้น

ดังนั้น เมื่อเข็มนาฬิกาผ่าน 14.00 น.ไปนิดเดียว วิกฤตระดับสุดยอดจึงอุบัติขึ้น กลุ่มคนร้ายที่สามารถปักหลักที่ระเบียงด้านนอกของห้องแสดงประติมากรรมบุคคลสำคัญของสหรัฐอเมริกา ซึ่งก็คือ National Statuary Hall ได้ช่วยกันทุบทำลายกระจกหน้าต่าง แล้วล่วงละเมิดเข้าสู่ภายในอาคารแคปิตอลสำเร็จ เว็บไซต์ข่าววาไรตี้เล่าประมาณนั้น

ภายในเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมง ผู้ก่อการร้ายหักด่านตำรวจที่ป้องกันอาคารด้านหลังได้สำเร็จ แล้วช่วยกันทุบทำลายกระจกหน้าต่าง บุกเข้าในอาคารทางห้อง National Statuary Hall
เสียงหวอเตือนภัยดังระรัวไปทั่ว มีการประกาศปิดล็อกอาคารทั้งหมด ตำรวจแคปิตอล กระหน่ำอีเมลกลุ่มแจ้งเตือนเจ้าหน้าที่ในอาคารส่วนที่ทำการของสภาผู้แทนฯ ให้อพยพออก โดยใช้ลิฟต์พิเศษลงไปยังชั้นใต้ดินซึ่งเป็นอุโมงค์สำหรับขับรถไปมาตามอาคารต่างๆ ของแคปิตอลฮิล และเอพีเล่าด้วยว่า ทีมของเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการลับ (US Secret Service) รุดเข้าสู่ห้องประชุมสภาทั้งสอง เพื่อคุ้มครองและนำพารองประธานาธิบดีไมค์ เพนซ์ และประธานสภาผู้แทนฯ แนนซี เปโลซีไปหลบภัยในสถานที่ปิดลับก่อน

เวลา 14.15 น. ส.ว.และ ส.ส. ที่ยังคงอยู่ในห้องประชุมของแต่ละสภา ได้ยินประกาศผ่านระบบเสียงของห้องประชุมสภา แจ้งทราบว่า “ผู้ประท้วงเข้าสู่ด้านในของอาคารแล้ว”

ตำรวจนอกเครื่องแบบของแคปิตอลทำการเคลื่อนย้ายเฟอร์นิเจอร์หนัก เพื่อปิดกั้นประตูเข้าสู่ห้องประชุมสภาผู้แทนฯ พร้อมกับเล็งปืนจ่อไปยังช่องด้านบนของบานประตู เตรียมที่จะตอบโต้ผู้บุกรุกได้ทันที ผู้ที่อยู่ในห้องประชุมสภาผู้แทนฯ ถูกสั่งให้หลบใต้เครื่องกำบังเช่นโต๊ะ-เก้าอี้ และให้สวมหน้ากากป้องกันแก๊สน้ำตา เพราะม็อบซึ่งมีอาวุธมากมายได้ล่วงละเมิดเข้าถึงประตูห้องประชุมสภาฯ แล้ว เอพีรายงาน

ส.ส.อเมริกันตกอยู่ในวิกฤตแห่งความเป็นและความตาย เมื่อผู้ก่อการร้าย พยายามพังประตูห้องประชุมสภา หมายจะเข้าไปจับตัว
14.44 น. เริ่มอพยพ ส.ส. และ ส.ว.

เวลา 14.44 น. ปฏิบัติการเคลื่อนย้ายผู้คนออกจากห้องประชุมไปยังสถานที่ปลอดภัยก็เริ่มขึ้น

ในด้านของห้องประชุมวุฒิสภาก็เช่นกัน มีการเคลื่อนย้ายผู้คนไปยังสถานที่ปลอดภัย รวมทั้งหีบบรรจุเอกสารรับรองผลการนับคะแนนจากคณะผู้เลือกตั้ง Electoral College ทุกรัฐ ซึ่งอยู่ในห้องประชุมได้รับการเคลื่อนย้ายไปด้วยในฐานะสิ่งสำคัญของทางการ

ผู้ก่อการร้ายระดับหัวแถวตามล่ารองฯ เพนซ์ ที่ห้องโถงหน้าห้องประชุมวุฒิสภา
ชัดเจน! ผู้ก่อการร้ายมุ่งจับตัวประกัน

เมื่อเจอปืนหลายกระบอกจ่อเตรียมยิงสวนใครก็ตามที่กล้าฝ่าเข้าสู่ห้องประชุมสภาผู้แทนฯ กลุ่มผู้ก่อการร้ายจึงย้ายไปอาละวาดทางห้องในตรงข้ามห้องประชุม ซึ่งเป็นสำนักงานของประธานสภา มีการทุบทำลายกระจกที่กรุบานประตูทางเข้า ซึ่งนำไปสู่การเสียชีวิตของแอชลี แบ็บบิต (ผู้ประท้วงหญิงที่ถูกยิงตายขณะบุกเข้าไปในรัฐสภา) หลังจากนั้นผู้ก่อการร้ายก็หาทางเข้าไปจากด้านอื่นได้สำเร็จ และแผลงฤทธิ์ในห้องทำงานต่างๆ รวมทั้งห้องทำงานของประธานฯ เปโลซี

เธอเล่าให้รายการ 60 มินิตส์ว่าผู้ก่อการร้ายมีเป้าหมายที่จะมาจับตัวประกัน

“พวกนี้ตะโกนโหวกเหวกว่า ประธานสภาฯ อยู่ไหน นางต้องมีพนักงานสิ พวกนั้นต้องอยู่แถวนี้แหละ เราหาพวกมันให้เจอ” แนนซี เปโลซีเล่าอย่างนั้น

ผู้ก่อการร้ายจอมก๋ากั่นอีกกลุ่มแยกไปตามล่าตัวประกันทางปีกอาคารฝั่งวุฒิสภา โดยขณะตระเวนไปถึงบริเวณด้านนอกของห้องประชุมวุฒิสภา ก็ประสานเสียงตะโกนกึกก้อง ตามหาสมาชิกสภาให้เจอ “พวกนั้นอยู่ไหน พวกนั้นอยู่ไหน”

คนเหล่านี้เข้าภายในห้องประชุมวุฒิสภาได้ในที่สุด ซึ่งตอนนั้นก็ไม่เหลือใครแล้ว เอพีบรรยายว่าคนเหล่านั้นถึงกับนึกไม่ออกว่าจะทำอะไรดี แต่ที่สำคัญคือ กล้องบันทึกภาพของห้องประชุมจับภาพของชายสองคนถือกุญแจมือแบบซิปจำนวนมาก อุปกรณ์ดังกล่าวเป็นสิ่งที่ใช้เมื่อเข้าจับกุมคนในเหตุจลาจล

หากความพยายามจับกุมผู้นำของ ส.ว.-ส.ส.ประสบความสำเร็จ ก็จะสามารถส่งผลให้การประชุมรัฐสภาเพื่อรับรองผลการเลือกตั้ง ต้องชะงักงันกันเป็นหลายวัน ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ทรัมป์ปรารถนา

บรรดาผู้บุกรุกเข้าในอาคารแคปิตอลพากันเดินพล่านไปตามห้องต่างๆ
เป็นเวลา 2 ชั่วโมงทีเดียวที่ผู้ก่อการร้ายและผู้บุกรุกอาละวาดแผ่ลามกว้างขวางทั่วอาคารแคปิตอล ความวุ่นวายโกลาหลทั้งปวงเขย่าขวัญชาวโลก หลายฝ่ายถามหากำลังพลรักษามาตุภูมิ เอฟบีไอ ตลอดจนกองกำลังป้องกันชาติ (เนชันแนลการ์ด) หลายฝ่ายเสนอการวิเคราะห์ความล้มเหลวของกองกำลังตำรวจแคปิตอลฮิล

ความล้มเหลวของตำรวจแคปิตอล : “เกียร์ว่าง” หรือ “ไม่เป็นงาน” !?!

สตีเวน ซุนด์ หัวหน้าตำรวจแคปิตอล เล่าให้วอชิงตันโพสต์ทราบถึงความพยายามป้องกันเหตุรุนแรงล่วงหน้าให้แก่รัฐสภา ซึ่งไร้ผลเพราะหน่วยเหนือไม่เห็นด้วย

ในวันจันทร์ (4) สองวันก่อนการนัดเดินขบวนประท้วงกดดันให้ผลเลือกตั้งถูกยกเลิก ซุนด์รู้สึกได้ว่าจำนวนฝูงชนที่สนับสนุนทรัมป์และได้เดินทางมายเข้าร่วมการประท้วง Save America Rally น่าจะมหาศาล ดังนั้น ซุนด์จึงขอประสานงานกับเจ้าหน้าที่รับผิดชอบความปลอดภัยของทั้งสองสภา คือ ไมเคิล สเตงเกอร์ และพอล เออร์วิง เจ้าหน้าที่รับผิดชอบความปลอดภัยแห่งวุฒิสภาและสภาผู้แทนฯ ตามลำดับ เพื่อร้องขอให้ ดี.ซี. เนชันแนลการ์ด ทำการเตรียมพร้อม สแตนด์บายที่จะช่วยเหลือสนับสนุนในกรณีที่เกิดเหตุร้ายแรงและตำรวจรัฐสภาต้องการแบ็กอัพอย่างเร่งด่วน

ปรากฏว่าทั้งสองปฏิเสธ โดยไม่บอกว่าได้คุยกับ ไรอัน แม็กคาร์ธี รัฐมนตรีทบวงกองทัพบก (ซึ่งขึ้นตรงต่อรัฐมนตรีกลาโหม) แล้วว่าตำรวจสภาไม่ต้องการกำลังสนับสนุนจากฝ่ายทหาร สิ่งที่ทั้งสองพูดคือไม่อยากให้เกิดภาพออกไปว่ารัฐสภาประกาศภาวะฉุกเฉินอย่างเป็นทางการ ก่อนที่การเดินขบวนประท้วงจะเริ่มขึ้น ซึ่งจะดูไม่เหมาะสม ทั้งนี้ระเบียบกำหนดไว้ว่า การขอกำลังจาก ดี.ซี.เนชันแนลการ์ดเข้ามาช่วยในแคปิตอลฮิล จะต้องเป็นกรณีร้ายแรง และต้องมีการประกาศภาวะฉุกเฉินอย่างเป็นทางการก่อน และต้องประสานขออนุมัติไปที่กระทรวงกลาโหม

ซ้ายคือสตีเวน ซุนด์ หัวหน้าตำรวจแคปิตอลฮิล กลางและขวาคือไมเคิล สเตงเกอร์ กับพอล เออร์วิง นายใหญ่ด้านความปลอดภัยแห่งวุฒิสภา และสภาผู้แทนฯ
สเตงเกอร์แนะนำให้ซุนด์ใช้สายสัมพันธ์ที่มีอยู่กับดี.ซี.เนชันแนลการ์ด ประสานอย่างไม่เป็นทางการ เพื่อให้ฝั่งนั้นรับทราบและเตรียมพร้อมเผื่อว่าแคปิตอลฮิลต้องขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน

ในเย็นวันนั้น ซุนด์โทรศัพท์ประสานงานล่วงหน้าอย่างไม่เป็นทางการกับ พล.ต.วิลเลียม เจ. วอล์กเกอร์ ผู้บัญชาการ ดี.ซี.เนชันแนลการ์ด ซึ่งมีกำลัง 1,000 นาย (ถ้าเป็นรัฐอื่นๆ ผู้ว่าการรัฐมีอำนาจสั่งการกองกำลังเนชันแนลการ์ด แต่สำหรับวอชิงตัน ดี.ซี.ซึ่งเป็นที่ตั้งของทำเนียบขาว และไม่มีผู้ว่าการรัฐ การอนุมัติเคลื่อนย้ายกำลังเป็นอำนาจของประธานาธิบดี และกระทรวงกลาโหมเป็นผู้สั่งการ)

นอกจากนั้น ตั้งแต่ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซุนด์ได้ประสานงานกับผู้บัญชาการตำรวจวอชิงตัน ดี.ซี. คือ โรเบิร์ต เจ. คอนตี ที่ 3 โดยมีการนัดแนะกันไว้เป็นที่เรียบร้อย

ในวันรุ่งขึ้น ซุนด์สรุปภาพรวมการเตรียมป้องกันรัฐสภา ให้เออร์วิงและสเตงเกอร์รับทราบ ทั้งสองเห็นชอบตามนั้นและบอกว่าน่าจะเพียงพอ

ม็อบสาวกทรัมป์สุดห้าวเป้ง ยังไม่เท่า“ซูเปอร์สาวก”ที่ดูดายชะตากรรมของ ส.ว. และ ส.ส.

เมื่อวันพุธสุดอัปยศมาถึง การประเมินของเออร์วิงและสเตงเกอร์ปรากฏชัดว่าผิดพลาดร้ายแรง การเตรียมป้องกันรัฐสภา แบบไม่เป็นทางการที่ทั้งสองเลือกดำเนินการ กลายเป็นการเปิดฉากให้เกิดการสูญเสียชีวิต และนำมาซึ่งความเสียหายร้ายแรงต่อเกียรติภูมิของรัฐสภา

ณ เวลา 13.00 น. เมื่อซุนด์ได้เห็นจำนวนและความร้อนแรงของฝูงชนผู้เกรี้ยวกราดจำนวนมหาศาลสามารถเอาชนะแนวป้องกันของตำรวจรัฐสภาอย่างง่ายดาย เขาทราบเลยว่าเหตุการณ์จะย่ำแย่แน่นอน เขารีบโทรศัพท์ไปขอกำลังสนับสนุนจากผู้บัญชาการตำรวจวอชิงตัน ดี.ซี. ดังนั้น ตำรวจดี.ซี.100 นายได้รุดมายังแคปิตอลฮิลภายในสิบนาที

ตำรวจต้องเผชิญกับฝูงชนนับพันชีวิตที่ร้อนแรง ซึ่งมาพร้อมอุปกรณ์ครบครัน
เวลา 13.09 น. ซุนด์โทรศัพท์ถึงเออร์วิงและสเตงเกอร์ ย้ำว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องขอกำลังสนับสนุนจากดี.ซี.เนชันแนลการ์ด ดังนั้นจึงขออนุมัติประกาศภาวะฉุกเฉินในรัฐสภา คำตอบที่ได้รับคือ จะประสานขออนุมัติขึ้นไปตามลำดับ!! แล้วจะแจ้งกลับมา

ไม่กี่นาทีต่อมา บรรดาผู้ช่วยของผู้นำสภาคองเกรสโทรศัพท์ไปที่ออฟฟิศของสเตงเกอร์ และจึงได้ทราบจากระดับพนักงานออฟฟิศว่าเจ้าหน้าที่รับผิดชอบความปลอดภัยแห่งวุฒิสภาและสภาผู้แทนฯ ยังมิได้ประสานขอกำลังสนับสนุนจากดี.ซี.เนชันแนลการ์ด ด้วยความโกรธอย่างจัด พวกเขาโวยวายไปในสายว่าเรื่องนี้เป็นหน้าที่ที่ทั้งสองคนต้องดำเนินการโดยไม่ต้องรออนุมัติจากผู้นำ ส.ว. หรือ ส.ส.!!

เวลา 13.50 น. ซึ่งเป็นเวลา 9 นาทีก่อนที่ผู้ก่อการร้ายจะแหกเข้าสู่ด้านในของอาคารแคปิตอล ผ่านช่องหน้าต่างของหอแสดงประติมากรรม National Statuary Hall ซุนด์หมดความอดทน จึงโทรศัพท์ไปยัง พล.ต.วอล์กเกอร์ ขอให้เตรียมเคลื่อนย้ายดี.ซี.เนชันแนลการ์ด

ผู้ก่อการร้ายเจาะเข้าสู่ภายในอาคารรัฐสภาผ่านช่องหน้าต่างจำนวนมาก ภาพซ้ายเป็นรายที่บุกเข้าไปทางปีกอาคารฝั่งวุฒิสภาและถูกตำรวจสกัดด้วยแก๊สน้ำตา ภาพขวาเป็นช่องหน้าต่างที่พังยับเยินซึ่ง ส.ว.บิล แคสสิดี ถ่ายภาพไว้บนทวิตเตอร์
ณ เวลา 14.10 น. หลังจาก 1 ชั่วโมงที่เต็มไปด้วยการปะทะรุนแรงระหว่างตำรวจกับฝูงชนในจุดต่างๆ ของอาคารแคปิตอล เออร์วิงโทรศัพท์แจ้งซุนด์ว่า ได้รับอนุมัติอย่างเป็นทางการให้ประกาศภาวะฉุกเฉิน และให้ประสานไปยังดี.ซี.เนชันแนลการ์ดได้

รายละเอียดข้างต้นเป็นข้อมูลที่ซุนด์เล่าต่อวอชิงตันโพสต์ในวันที่ 10 มกราคม และวอชิงตันโพสต์ยังไม่ได้รับข้อมูลจากเออร์วิงหรือสเตงเกอร์เลย เพราะไม่สามารถติดต่อเออร์วิงได้ ส่วนสเตงเกอร์ก็ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์

แม้ได้ลาออกตามซุนด์เป็นที่เรียบร้อย แต่ในฐานะที่เป็นหัวหน้าสูงสุดในการดูแลเสถียรภาพและความปลอดภัยภายในสภาทั้งสองของรัฐสภาสหรัฐฯ ทั้งสเตงเกอร์และเออร์วิงจะต้องถูกสอบสวนที่ไม่ดำเนินการเพียงพอในการเตรียมการ อีกทั้งดำเนินล่าช้าในการป้องกัน ส.ว. และ ส.ส.

การสอบสวนที่สำคัญข้อหนึ่งคือ ประเด็นที่นายกเทศมนตรีแห่งวอชิงตัน ดี.ซี.ได้ขอให้กองกำลังดี.ซี.เนชันแนลการ์ดมาช่วยสนับสนุนกำลังตำรวจรัฐสภา ผ่านไปยังกระทรวงกลาโหมตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม แต่ปรากฏว่าในวันที่ 3 มกราคม แคปิตอลฮิลเป็นฝ่ายที่ปฏิเสธ

ปรากฏการณ์บ่ายเบี่ยงมากด้วยแท็กติกของเพนตากอน

ขณะที่ตำรวจถูกฝ่ายต่างๆ วิพากษ์วิจารณ์เละสายตาของชาวโลกพุ่งไปที่การเคลื่อนกำลังของดี.ซี.เนชันแนลการ์ด เพนตากอนซึ่งก็คือกระทรวงกลาโหม ถูกสาธารณชนตั้งคำถามอื้ออึงว่าเมื่อไหร่จึงจะสั่งการ

แต่สิ่งที่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องฝ่ายต่างๆ ได้ประสบด้วยตนเองในระหว่างการประชุมกับเพนตากอน หรือก็คือกระทรวงกลาโหม นับจาก 14.26 น.ถึงประมาณ 15.00 น.นั้น เพนตากอนมีท่าทีบ่ายเบี่ยง ดังปรากฏในคำบอกเล่าของหัวหน้าตำรวจซุนด์และนายกเทศมนตรีวอชิงตันดี.ซี. มิวเรียล บาวเซอร์ ที่ให้สัมภาษณ์แก่วอชิงตันโพสต์ โดยสรุปได้ดังนี้

ผู้เจรจา Conference Call 6 ฝ่าย แถวบน จากซ้ายไปขวา หัวหน้าตำรวจแคปิตอลฮิล - นายกเทศมนตรีวอชิงตัน ดี.ซี. - ผบ.ดี.ซี.เนชันแนลการ์ด แถวล่าง จากซ้ายไปขวา ผบ.ตำรวจวอชิงตัน ดี.ซี. - ผอ.หน่วยงานความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของวอชิงตัน ดี.ซี. - ผอ.คณะเสนาธิการกองทัพบก
ณ เวลา 14.26 น. เนื่องจาก ดี.ซี.เนชันแนลการ์ด (ซึ่งพร้อมจะเคลื่อนกำลังได้ทันทีจำนวนร้อยกว่านายเข้าไปช่วยเคลียร์ผู้ก่อการร้ายออกจากพื้นที่ทั้งหมดของแคปิตอลฮิล) จะเริ่มปฏิบัติการได้ก็ต่อเมื่อกระทรวงกลาโหมให้การอนุมัติ ดังนั้น ผู้อำนวยการหน่วยงานความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของวอชิงตัน ดี.ซี. คริส รอดริเกซ ได้ประสานจัดประชุมทางไกล คอนเฟอเรนซ์คอล 6 ฝ่ายซึ่งรวมถึงผู้อำนวยการคณะเสนาธิการกองทัพบก พล.ท.วอลเตอร์ เพียต - ผบ.ตำรวจแคปิตอลฮิล สตีเวน ซุนด์ - ผู้บัญชาการดี.ซี.เนชันแนลการ์ด พล.ต.วิลเลียม เจ. วอล์กเกอร์ - ผบ.ตำรวจวอชิงตัน ดี.ซี. โรเบิร์ต คอนตี - นายกเทศมนตรีวอชิงตัน ดี.ซี. มิวเรียล บาวเซอร์

แต่การประชุมไม่อาจสรุปได้ เพราะ พล.ท.เพียตกล่าวว่า ไม่อยากให้เนชันแนลการ์ดเป็นหน่วยเคลียร์ผู้ก่อการร้ายออกจากแคปิตอลฮิล แต่จะส่งเนชั่นแนลการ์ดไปปฏิบัติการเฉพาะรอบตัวเมืองวอชิงตัน เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของตำรวจดี.ซี. ดังนั้น ตำรวจดี.ซี.จะได้เป็นตัวหลักในปฏิบัติการนี้ นี่เป็นคำบอกเล่าของผบ.ตำรวจซุนด์

นายกเทศมนตรีบาวเซอร์ก็ให้สัมภาษณ์ในลักษณะเดียวกัน และบอกด้วยว่าฝ่ายกองทัพแสดงความกังวลใจ ไม่อยากให้มีเจ้าหน้าที่ทหารไปอยู่บนพื้นที่ของรัฐสภา นอกจากนั้น ผู้ช่วยของบาวเซอร์ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ผบ.ตำรวจคอนตีถึงกับออกอาการอ้อนวอนให้เพนตากอน ยอมตามคำร้องขอจากตำรวจสภา

คอนเฟอเรนซ์คอลซึ่งดำเนินเนิ่นนานโดยไม่เกิดผล ต้องยุติด้วยคำลงท้ายที่ไม่ต้องหารือกันต่อไป เมื่อ พล.ท.เพียตบอกว่าการตัดสินใจสั่งเคลื่อนกำลังพลอยู่ที่รัฐมนตรีทบวงกองทัพบก ไรอัน แม็กคาร์ธี ซึ่งอยู่ระหว่างประสานขออนุมัติจากรักษาการรัฐมนตรีกลาโหม คริสโตเฟอร์ มิลเลอร์

นายกฯ บาวเซอร์จึงหันไปเร่งประสานขอความช่วยเหลือจากผู้ว่าการและหัวหน้าตำรวจของรัฐต่างๆ

เห็นได้ว่าแม้เหตุวิกฤตการณ์ขั้นสุดยอดในรัฐสภาอเมริกันลุกลามนานกว่า 2 ชั่วโมงนับจาก 12.40 น. แต่เพนตากอนก็ยังไม่ส่งทหารเข้าไปช่วยตำรวจปราบปรามจับกุม

เพนตากอนไม่ฉับไวในยามวิกฤตสุดๆ เพราะ “เกียร์ว่าง” หรือ “เกรงใจ”

เป็นที่ทราบกันดีว่าการอนุมัติเคลื่อนกองกำลังดี.ซี.เนชันแนลการ์ด เป็นอำนาจของประธานาธิบดี โดยมีรมว.กลาโหมเป็นผู้สั่งการ แต่ขณะที่วิกฤตผู้ก่อการร้ายขยายความรุนแรงอย่างยืดเยื้อนั้น ทรัมป์ซึ่งปักหลักอยู่ในทำเนียบขาว มิได้ขยับทำหน้าที่อันสำคัญนี้

เว็บไซต์ข่าว news18.com รายงานว่าทรัมป์ซึ่งแสดงให้เห็นตลอดปี 2020 ว่ากระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่งที่จะเคลื่อนกำลังเนชันแนลการ์ดเข้าปราบปรามเหตุประท้วงของกลุ่ม “แบล็ก ไลฟ์ แมตเทอร์” แต่เมื่อความรุนแรงเกิดขึ้นที่รัฐสภาโดยฝีมือของกองเชียร์ของเขา แหล่งข่าวใกล้ชิดให้ข้อมูลว่า ในช่วงต้นนั้น ทรัมป์ถึงกับคัดค้านในเรื่องนี้

“การตัดสินใจเคลื่อนดี.ซี.เนชันแนลการ์ดอุบัติขึ้นในที่สุด โดยรักษาการ รมว.กลาโหม มิลเลอร์ แต่ไม่มีความกระจ่างชัดว่า ทำไมมิลเลอร์และทุกรายที่เกี่ยวข้องจึงปล่อยเวลาล่วงเลยเนิ่นนานเหลือเกิน” เดลีเมล์ดอตยูเค สื่อสัญชาติอังกฤษตั้งคำถามที่ตรงใจคนทั่วโลกไว้ในรายงานข่าววันศุกร์ (8)

ในช่วงหลายชั่วโมงแห่งวิกฤต รอง ปธน.เพนซ์ (ซ้าย) รัวโทรศัพท์ตามตัวและสั่งให้รักษาการ รมว.กลาโหม มิลเลอร์ (ขวา) รีบเร่งเคลื่อนกำลังทหาร
แต่สื่อมวลชนตลอดจนนักวิเคราะห์และนักวิจารณ์การเมืองทุกสถาบัน ออกโรงถล่มตำรวจแคปิตอลฮิลและฝ่ายต่างๆ ในด้านความมั่นคงของวอชิงตันดี.ซี.กันตั้งแต่เช้าวันรุ่งขึ้นจากวันมหาอัปยศ

เพนตากอนยอมรับได้สรุปชัดเจนกับบิ๊กตำรวจรัฐสภา
ไม่ต้องส่งทหารช่วยกันเหตุร้ายวันดีเดย์


สิ่งที่ตามมาคือการโบ้ยกันไปมาระหว่างเพนตากอนกับนายกเทศมนตรีบาวเซอร์ ซึ่งค่อนข้างจะเป็นการโต้กันแบบ “คนละเรื่องเดียวกัน”

เอ็นบีซีนิวส์เสนอรายงานเรื่องนี้อย่างละเอียดโดยอ้างอิงตามคำแถลงเรื่องลำดับเวลาที่เพนตากอนนำออกเผยแพร่ในเย็นวันศุกร์ (8) กับคำให้สัมภาษณ์ของฝ่ายต่างๆ ในวอชิงตัน ดี.ซี. ซึ่งสรุปได้ว่า

อาทิตย์ (3) เพนตากอนรับทราบว่าตำรวจแคปิตอลฮิลไม่ขอกำลังสนับสนุน

จันทร์ (4) 1. เพนตากอนอนุมัติตามคำร้องขอว่าทหารจากเนชันแนลการ์ด 340 นายจะไปช่วยด้านการควบคุมจราจรกับควบคุมฝูงชนในเขตเมือง การสนับสนุนโลจิสติกส์ และกองกำลังโต้ตอบฉับพลัน 40 นายเตรียมพร้อมไว้ที่รัฐแมริแลนด์ 2. ตำรวจแคปิตอลฮิลยืนยันระหว่างหารือทางโทรศัพท์กับ รมต.ทบวงกองทัพบก แมคคาร์ธี ว่าไม่ขอกำลังสนับสนุน (ผู้ที่คุยกับรมต.ต้องเป็นระดับรับผิดชอบ เช่น สเตงเกอร์ หรือเออร์วิง มิใช่ซุนด์ ซึ่งประสานได้แค่ระดับ พล.ท.วิลเลียม วอล์กเกอร์ หัวหน้ากองกำลังดี.ซี.เนชันแนลการ์ด)

วันพุธ (6)
ณ 13.24 น. นายกฯ บาวเซอร์โทรศัพท์ร้องขอความช่วยเหลือจากเพนตากอน
ณ 13.49 น. หัวหน้าตำรวจฯ ซุนด์โทรศัพท์ร้องขอความช่วยเหลือจากเพนตากอน
ณ 15.04 น. (เท่ากับ 75 นาทีต่อมา) รษก.รมว.กลาโหมมิลเลอร์ สั่งการด้วยวาจาอนุมัติการเคลื่อนกำลังเนชั่นแนลการ์ด
ณ 15.26 น. รมต.แม็กคาร์ธีบอกแก่บาวเซอร์และซุนด์ผ่านทางโทรศัพท์ว่าการเคลื่อนกำลังได้รับการอนุมัติแล้ว
ณ 17.04 น. กองกำลังเนชันแนลการ์ดเคลื่อนออกจากคลังสรรพาวุธ
ณ 17.40 น. เดินทางถึงแคปิตอล (ซึ่งเท่ากับว่าตั้งแต่ที่บาวเซอร์โทรศัพท์ขอความช่วยเหลือ จรดจนเวลาที่เดินทางถึงแคปิตอล ยาวนาน 4 ชั่วโมงทีเดียว)

ด้านฝ่ายต่างๆ ในวอชิงตัน ดี.ซี. ย้ำในประเด็นว่า เพนตากอนต้องรับผิดชอบกับความล่าช้าในการเคลื่อนพลเพราะตลอดบ่ายจนจนเย็นค่ำ วิกฤตในรัฐสภาทวีความรุนแรงอย่างมหาศาล

ลีลาการโต้เถียงแสดงถึงแท็กติกพลิกพลิ้วระดับเซียน ขณะที่ฝ่ายวอชิงตัน ดี.ซี. จิกที่ประเด็นความล่าช้าในบ่ายวันที่ 6 เพนตากอนกลับปักหลักกับความเพียบพร้อมที่ฝ่ายตนได้ดำเนินการในช่วงก่อนวันที่ 6 แล้วชี้แจงลำดับเวลาการประสานงานในบ่ายวันที่ 6 โดยไม่เดือดร้อน-ไม่ชี้แจงสาเหตุความล่าช้าจำนวน 4 ชั่วโมงทั้งนี้ ในแถลงการณ์ของรักษาการ รมว.มิลเลอร์ ณ วันที่ 7 ระบุว่าคำร้องขอในวันที่ 6 นั้น เพนตากอนได้ตอบสนองแล้ว
โดยได้ดำเนินการอย่างเหมาะสมและอย่างกระตือรือร้น

แถลงการณ์ของรักษาการ รมว.กลาโหม ณ วันที่ 7 มกราคม 2021
เมื่อกระบวนการสอบสวนและดำเนินคดีต่อผู้รับผิดชอบในความเสียหายร้ายแรงเริ่มต้นขึ้น ประเด็นบิ๊กเจ้าหน้าที่รับผิดชอบความปลอดภัยในสองสภาปฏิเสธความช่วยเหลือจากเพนตากอนถึง 2 ครั้ง (วันที่ 3 และวันที่ 4) นั้น ไมเคิล สเตงเกอร์ และพอล เออร์วิง คงยากที่จะเอาตัวรอดได้

ส่วนประเด็นความล่าช้าอันเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญแห่งความเสียหายร้ายแรง จะถูกดำเนินการทางกฎหมายหรือไม่ และผู้ใดบ้างที่จะถูกกฎหมายเช็คบิล เป็นสิ่งที่ต้องติดตามกันต่อไป

สื่อมวลชนพากันเสนอข้อมูลไว้อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเด็นที่ว่า ปธน.ทรัมป์เป็นเจ้าหน้าที่ละเลยการทำหน้าที่ จนก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงหรือไม่

รายงานข่าวมากมาย รวมทั้งค่ายใหญ่อย่างซีเอ็นเอ็นรายงานว่า รองฯ เพนซ์ และ รษก.รมว. มิลเลอร์ ประสานงานกันแก้ปัญหาโดยไม่มีการเอ่ยถึงทรัมป์

ว่าที่จำเลยสังคมลำดับต่อไปคือ รษก.รมว.มิลเลอร์ ซึ่งอาจไม่ต้องพิสูจน์ว่าตนสั่งการไปยังเพนตากอน ณ เวลา 15.04 น. แต่ในส่วนของความล่าช้า 1-2 ชั่วโมง นับจากที่ฝูงชนบุกเข้าโจมตีเอาชนะตำรวจได้ หรือนับจากที่ผู้ก่อการร้ายแหกเข้าสู่ภายในทั่วอาคารนั้น แสดงความเกียร์ว่างใช่หรือไม่

ทั้งนี้ มีข้อมูลปรากฏสู่ความรับรู้ของสาธารณชนว่ามิลเลอร์ถูกเพนซ์สั่งการและเร่งรัดด้วยถ้อยคำที่ค่อนข้างแรงเพื่อให้มิลเลอร์ลงมือเคลื่อนกำลังทหารมาช่วยปราบจลาจล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายงานข่าวของซีเอ็นเอ็นในวันที่ 7 บอกว่า เมื่อมิลเลอร์แจ้งว่ากำลังทำขั้นตอนดำเนินการอย่างเร่งด่วน เพนซ์ตอกกลับบอกว่าให้เคลื่อนกำลังทหารให้รวดเร็วขึ้นมากๆ กว่าที่กำลังดำเนินการอยู่

ทั้งนี้ ซีเอ็นเอ็นฟันธงตรงๆ ว่าไม่ได้มีการเตรียมเคลื่อนเนชันแนลการ์ดอย่างเต็มที่จนกระทั่งเวลาผ่านไปหลายชั่วโมงนับจากที่ฝูงชนที่เกรี้ยวกราดบุกขึ้นไปบนอาคารแคปิตอล

อาจกล่าวได้ว่าข้อสังเกตจากเดลิเมล์ดอทยูเคว่าว่า “ไม่มีความกระจ่างชัดว่า ทำไมมิลเลอร์และทุกรายที่เกี่ยวข้องจึงปล่อยเวลาล่วงเลยเนิ่นนานเหลือเกิน” นั้น เป็นอะไรที่ตอกตรงเข้าไปท้าทายคุณภาพและมาตรฐานการรับมือกับเหตุวิกฤติร้ายแรงของประเทศ

นักวิเคราะห์การเมืองจึงชี้ว่า ความไม่ฉับไวที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ในเมื่อมิลเลอร์เป็นผู้ที่ทรัมป์เลือกเข้าสู่ตำแหน่งด้วยตนเอง ในการนี้ มิลเลอร์อาจจะลบคำกล่าวหาเรื่องเกียร์ว่างได้ โดยอ้างถึงกฎระเบียบที่ให้อำนาจการเคลื่อนกำลังพลไว้ที่ประธานาธิบดี แต่สำหรับประเด็นความล่าช้า อาจเกิดจากความเกรงใจ ซึ่งอาจทำให้มิลเลอร์ต้องเสียเวลามากมายในการหว่านล้อมให้ทรัมป์ออกมากระทำหน้าที่ นี่จะเป็นจุดคาใจสังคมอเมริกันและสังคมโลกไปนานแสนนาน

ตำรวจไล่ต้อนฝูงชนออกจากอาคารรัฐสภาทางด้านหลังด้วยแก๊สน้ำตาและระเบิดแสง ในภาพนี้แสดงให้เห็นทิศทางของควันที่ออกมาทางทิศตะวันตกสืบเนื่องจากปฏิบัติการของตำรวจ
ทรัมป์ไม่ใช่ผู้สั่งเคลื่อนทหาร เพราะทำเนียบขาวประกาศการเคลื่อนกำลังหลัง 15.30 น.

ในที่สุด ได้เกิดปัจจัยสำคัญที่น่าจะเป็นหนึ่งในตัวกระตุ้นให้สถานการณ์พลิกคือ ผู้ว่าการรัฐเวอร์จิเนียออกโรงประกาศเมื่อประมาณ 15.30 น. ว่าจะส่งเนชั่นแนลการ์ดของเวอร์จิเนียเข้าไปช่วยกอบกู้สถานการณ์จลาจลตามการร้องขอจากนายกเทศมนตรีบาวเซอร์
ในไม่กี่นาทีต่อมา ทำเนียบขาวก็ประกาศว่าประธานาธิบดีทรัมป์สั่งการให้เนชันแนลการ์ด เคลื่อนกำลังเข้ามาช่วยเช่นกัน เว็บไซต์ข่าวของนิตยสารฟอร์จูนรายงาน

ประเด็นดังกล่าวนี้ไม่สอดคล้องกับการแถลงอย่างเป็นทางการของเพนตากอน ซึ่งบอกว่า ได้รับอนุมัติเคลื่อนกำลังด้วยวาจาจาก รษก.รมว.มิลเลอร์ ณ 15.04 น. และบอกด้วยว่ามีการแจ้งต่อฝ่ายวอชิงตัน ดี.ซี. ณ 15.26 น. ว่าการเคลื่อนกำลังได้รับการอนุมัติแล้ว

ตำรวจลงมือจับกุมผู้ก่อการร้าย ไล่ต้อนผู้บุกรุก แม้ทหารดี.ซี.เนชันแนลการ์ด ยังไม่เคลื่อนตัวจากคลังสรรพาวุธ

ก่อนเวลา 15.48 น. ตำรวจรัฐสภาเริ่มปฏิบัติการกวาดจับผู้ก่อการร้ายทั้งในอาคารแคปิตอล และอาคารอื่นๆ เว็บไซต์ข่าวนิวยอร์กไทมส์รายงานสดอย่างสั้นๆ ตอนเวลาดังกล่าว และรายงานด้วยว่านายกฯ บาวเซอร์ออกคำสั่งเคอร์ฟิวทั่วกรุงแล้วโดยให้เริ่มตั้งแต่หกโมงเย็น

ในการนี้ ตำรวจแคปิตอลฮิล วางแก๊สน้ำตาและระเบิดแสง จากด้านในของปีกอาคารด้านวุฒิสภา และสามารถเคลียร์ฝูงชนออกไปจากอาคารได้สำเร็จ

หลัง 16.30 น. กำลังสมทบจากเอฟบีไอและหน่วยความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของวอชิงตัน ดี.ซี. ในชุดปราบจลาจลเคลื่อนเข้าสู่แคปิตอลฮิล และตามมาติดๆ คือตำรวจจากรัฐนิวเจอร์ซีย์ ซึ่งทั้งหมดได้เข้าสนับสนุนตำรวจแคปิตอลฮิล

ตำรวจจับผู้ก่อการร้ายภายในอาคารและผลักดันฝูงชนพ้นจากอาคารและพื้นที่โดยรอบแคปิตอลฮิล ภาพซ้ายได้รับความอนุเคราะห์จาก Tyler Merbler ผ่านเว็บไซต์วิกิพีเดีย
ณ 17.00 น. สามารถเริ่มอพยพผู้นำ ส.ว. และ ส.ส.ออกจากแคปิตอลฮิล ไปยังฐานทัพฟอร์ต แมคแนร์

ณ 17.40 น. กองกำลังดี.ซี.เนชันแนลการ์ด มาถึงแคปิตอลฮิล ขณะที่ สเตงเกอร์ ในฐานะเจ้าหน้าที่รับผิดชอบความปลอดภัยแห่งวุฒิสภา ประกาศให้ทราบทั่วกันว่าแคปิตอลฮิล กลับสู่เสถียรภาพแล้ว

กองกำลังดี.ซี.เนชันแนลการ์ด มาถึงแคปิตอลฮิล ณ 17.40 น.
แม้คำสั่งเคอร์ฟิวจะมีผลบังคับตั้งแต่ 18.00 น. แต่ผู้บุกรุกยังจับกลุ่มอยู่ตามลานพื้นที่อย่างหนาแน่น การผลักดันให้ผู้บุกรุกพ้นออกจากพื้นที่แคปิตอลฮิลจึงดำเนินต่อเนื่องจนล่วงเข้าดึกดื่น

ในวันอัปยศครั้งมโหฬารนี้ มีการจับกุมผู้กระทำความผิดทั่วกรุงวอชิงตันที่เกี่ยวเนื่องกับการก่อการร้ายและความผิดต่างๆ รวมทั้งการละเมิดคำสั่งเคอร์ฟิว รวมเกือบร้อยราย โดยเป็นผู้ที่กระทำความผิดเกี่ยวเนื่องกับการก่อการร้ายภายในรัฐสภา จำนวน 13 ราย

ไบรอัน ซิคนิค ตำรวจผู้เสียชีวิตเนื่องจากการปะทะกับผู้ก่อการร้าย ได้รับการสดุดีอย่างสมเกียรติในหลายเวทีของภาคประชาชน
(ที่มา : เอพี วอชิงตัน โพสต์ บีบีซี 60 มินิตส์ ฟอร์จูน บลูมเบิร์ก นิวส์ ซีเอ็นเอ็น รอยเตอร์ อินไซด์เอดดิชันทีวี news18.com เดลีเมล์ดอตยูเค วิกิพีเดีย)
กำลังโหลดความคิดเห็น