เอเอฟพี/รอยเตอร์ – ลี แจ-ยอง (Lee Jae-yong) รองประธานกรรมการบริษัทซัมซุง อิเล็กทริกส์ ถูกส่งตัวกลับเข้าเรือนจำเดิมหลังศาลเกาหลีใต้ตัดสินว่าเขามีความผิดจริงในคดีสินบนและยักยอกและพิพากษาจำคุกนาน 2 ปีครึ่ง
เอเอฟพีรายงานวันนี้(18 ม.ค)ว่า ในวันจันทร์(18)ศาลแขวงกลางกรุงโซล (Seoul Central District Court )ออกคำสั่งพิพากษาทายาทซัมซุง ลี แจ-ยอง (Lee Jae-yong) ซึ่งรู้จักกันดีว่าเป็นผู้บริหารกลุ่มธุรกิจซัมซุงในคดีคอร์รัปชันอื้อฉาว
ผู้พิพากษาแถลงในคำพิพากษาว่า “ลีมีความกระตือรือล้นในการให้สินบนและกล่าวขอเป็นนัยต่อประธานาธิบดีเกาหลีใต้(พัก กึน-ฮเย)ให้ใช้อำนาจของเธอช่วยให้การโอนถ่ายอำนาจของเขาที่จะขึ้นเป็นประธานกรรมการกลุ่มธรกิจยักษ์ใหญ่ข้ามชาติให้เป็นไปอย่างราบรื่น”
และในคำพิพากษายังกล่าวต่อว่า “แต่เป็นที่น่าเสียดายที่บริษัทซัมซุงซึ่งเป็นธุรกิจชั้นแนวหน้าของประเทศ และยังเป็นผู้คิดค้นที่น่าภาคภูมิใจในระดับโลกนั้นเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดทางอาญาซ้ำแล้วซ้ำเล่าเมื่อใดก็ตามมีการเปลี่ยนแปลงอำนาจทางการเมือง”
โดยศาลเกาหลีใต้ออกคำสั่งจำคุกลีเป็นเวลา 2 ปีครึ่งในคดีสินบนและยักยอกทรัพย์
เอเอฟพีขี้ว่า ลีขึ้นเป็นผู้บริหารซัมซุงไปโดยปริยายหลังจากที่บิดานั้นล้มป่วยด้วยโรคหัวใจและเสียชีวิตในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
รอยเตอร์รายงานว่า ลี แจ-ยอง ปัจจุบันอายุ 52 ปีถูกพิพากษาจำคุกในคดีการให้สินบนแก่ผู้ช่วยของอดีตประธานาธิบดีหญิงเกาหลีใต้ และเขาส่งตัวเข้าเรือนจำในปี 2017 ก่อนที่โทษจำคุกจะถูกลดและถูกสั่งยกเลิกชั่วคราวเนื่องจากอยู่ในระหว่างการอุทธรณ์ และทำให้ศาลสูงสุดเกาหลีใต้ได้ส่งคดีของลีกลับไปยังศาลชั้นล่างคือศาลสูงกรุงโซลที่ได้ทำการตัดสินจำคุกเขาเป็นเวลา 2 ปีครึ่ง
ลีที่อยู่ในชุดสูทและสวมหน้ากากอนามัยสีขาวปฎิเสทท จัตอบคำถามนักข่าวขณะที่กำลังเดินไปที่ศาล และหลังจากคำตัดสินพบว่า ทายาทซัมซุงถูกนำตัวส่งไปยังเรือนจำกรุงโซล( Seoul Detention Center )ในทันทีซึ่งตั้งอยู่บริเวณชานเมือง
และเมื่อเขาไปถึงเขาจะต้องถูกตรวจหาไวรัสโควิด-19ด้วยชุดตรวจเร็วซึ่งใช้เวลาทราบผลภายใน 30 นาทีโดยที่ไม่ต้องการผลวิเคราะห์ทางห้องแล็บ
รอยเตอร์รายงานว่า หากว่าลีมีผลการตรวจโควิด-19เป็นลบเขาจะถูกส่งห้องขังเดี่ยวขนาด 5 ตารางเมตรที่มีโถล้วมอยู่ด้านในเป็นเวลา 2 สัปดาห์ แต่หากว่าเขาถูกตรวจเจอเชื้อไวรัสจะถูกส่งตัวเพื่อเข้ารับการรักษาที่ศูนย์ทางการแพทย์ต่อไป
ลีเคยถูกจำคุกที่เรือนจำนี้ก่อนหน้าในปี 2017 และถูกปล่อยตัวเป็นอิสระชั่วคราวในปี 2018