เอเจนซีส์/รอยเตอร์ – รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่านแถลงวานนี้(3 ธ.ค)ว่า เตหะรานจะยอมทำตามข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านปี 2015 ทันทีหากว่า สหรัฐฯภายใต้รัฐบาลชุดใหม่ของโจ ไบเดน แสดงความจริงใจด้วยการสั่งยกเลิกการคว่ำบาตรทั้งหมดต่ออิหร่าน
หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียน สื่ออังกฤษ รายงานเมื่อวานนี้(3 ธ.ค)ว่า รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน จาวาด ซารีฟ แถลงในวันพฤหัสบดี(3) ขีดมาตรการให้กับความสัมพันธ์ครั้งใหม่ต่อวอชิงตัน โดยชี้ว่า อิหร่านไม่เรียกร้องให้สหรัฐฯหันกลับมาเข้าร่วมข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านปี 2015 ที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้สั่งถอนออกไปในปี 2018
ซึ่งข้อตกลงนี้มีชื่อเต็มว่า ข้อตกลงนิวเคลียร์หรือข้อตกลงร่วมว่าด้วยแผนปฏิบัติการครอบคลุม JCPOA (The Joint Comprehensive Plan of Action) เป็นข้อตกลงระหว่างอิหร่าน และ 5 ชาติสมาชิกถาวรคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC)ได้แก่ จีน ฝรั่งเศส รัสเซีย สหราชอาณาจักร สหรัฐฯ บวกเยอรมนี หรือที่รู้จักกันในกลุ่ม P5+1 และสหภาพยุโรป เมื่อวันที่ 14 ก.ค ปี 2015
ภายใต้ข้อตกลงนี้ อิหร่านตกลงจำกัดปริมาณการสะสมและการผลิตยูเรเนียมเสริมสมรรถนะซึ่งเป็นธาตุยูเรเนียมชนิดหนึ่งที่สามารถเปลี่ยนเป็นเชื้อเพลิงเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์รวมถึงใช้ในอาวุธนิวเคลียร์ เป็นเวลา 15 ปี เพื่อแลกกับการที่ทางสหรัฐฯ สหภาพยุโรป และสหประชาชาติ ยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรที่ใช้ต่ออิหร่านก่อนหน้านี้ โดยมีทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) เป็นผู้ทำหน้าที่เฝ้าสังเกตการณ์
ซารีฟกล่าวว่า “สหรัฐฯต้องปฎิบัติตามโดยที่ไม่มีเงื่อนไขในการทำตามหน้าที่ภายใต้ข้อตกลง JCPOA สหรัฐฯต้องแสดงความจริงใจให้เห็น สหรัฐฯได้แสดงหลักฐานที่แสดงความจริงใจออกมา และหลังจากนั้นอิหร่านจะยอมกลับไปทำตามเงื่อนไขที่กำหนดอยู่ในข้อตกลง JCPOA”
รอยเตอร์ชี้ว่า การออกมาพูดของซารีฟเกิดขึ้นหลังจากที่ว่าที่ประธานาธิบดีสหัฐฯคนใหม่ "โจ ไบเดน" ได้ประกาศที่จะนำสหรัฐฯกลับเข้าร่วมข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านในเงื่อนไขที่ว่า เตหะรานต้องกลับไปทำตามกรอบข้อตกลง
และไบเดนยังชี้ว่า เขาจะร่วมมือกับชาติพันธมิตรในการทำให้มีความเข้มแข็งมากขึ้นและขยายออกไป
ทั้งนี้รัฐมนตรีอิหร่านแถลงเกี่ยวกับข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านในการประชุมโรม โดยเป็นการแถลงผ่านทางวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ซึ่งซารีฟชี้ให้เห็นถึงข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านนั้นไม่สามารถนำกลับมาเจรจาใหม่ แต่ยังสามารถที่จะนำกลับมาได้
โดยเดอะการ์เดียนชี้ว่า เป็นการแสดงให้เห็นว่าทางเตหะรานปัดการกลับมาเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านอีกครั้ง
ซารีฟชี้ไปถึงมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจที่ถูกสั่งโดยทรัมป์นั้นได้สร้างความเสียหายให้กับอิหร่านร่วม 250 พันล้านดอลลาร์ และยังเป็นการทำให้อิหร่านเสียโอกาสในการจัดซื้อยาเวชภัณฑ์และวัคซีนในวิกฤตการระบาดโควิด-19
“ถิอเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ” รัฐมนตรีต่างประเทศเตหะรานกล่าว และเสริมต่อว่าเป็นเพราะมาตรการคว่ำบาตรสหรัฐฯส่งผลทำให้บริษัทชาติยุโรปไม่สามารถทำธุรกิจในอิหร่านได้
“ชาติยุโรปต่างกล่าวว่าพวกเขาทำตามข้อตกลงอย่างสมบูรณ์ แต่ในความเป็นจริงแล้วพวกเขาไม่ได้ทำเช่นนั้น...เราไม่เห็นบริษัทต่างชาติในอิหร่าน เราไม่ได้เห็นชาติยุโรปสั่งซื้อน้ำมันจากอิหร่าน เราไม่ได้เห็นธนาคารยุโรปส่งเงินมาให้เรา”
และนอกจากนี้ซารีฟได้กล่าวว่า เขาหวังว่าชาติอาหรับเพื่อนบ้าน ซึ่งมีบางส่วนได้เริ่มก่อความสัมพันธ์กับอิสราเอลชาติคู่ปรับของอิหร่านให้หันหน้ามาเปิดการเจรจากับเตหะรานหลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ลงจากตำแหน่ง รายงานจากรอยเตอร์