เอเจนซีส์ - อเมริกาพร้อมนำวัคซีนล็อตแรกกว่า 6 ล้านโดส ออกแจกจ่ายฉีดให้ประชาชนในเดือนหน้า ขณะที่หลายเมืองยกระดับมาตรการสกัดไวรัสเข้มงวดขึ้น สวนทางกับยุโรปที่จ่อผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ในช่วงเทศกาลคริสต์มาส หลังอัตราการติดเชื้อลดลง ด้านสิงคโปร์และรัฐนิวเซาท์เวลส์ของออสเตรเลียไม่พบเคสใหม่ในท้องถิ่น 2 และ 3 สัปดาห์ตามลำดับ
ลอสแองเจลิส เมืองใหญ่อันดับ 2 ของอเมริกา เริ่มใช้คำสั่งให้ร้านอาหารขายอาหารแบบซื้อกลับบ้านเท่านั้นตั้งแต่วันพุธ (25 พ.ย.) โดยบังคับใช้นาน 3 สัปดาห์ ขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อในรัฐแคลิฟอร์เนียพุ่งทำสถิติ และครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่สำนักงานดูแลรักษาสุขภาพของรัฐบาลสหรัฐฯ เรียกร้องให้ชาวอเมริกันกักตัวอยู่บ้านในช่วงวันหยุดขอบคุณพระเจ้า
ในวันอังคาร (24) อเมริกาเจอยอดผู้ติดเชื้อที่พุ่งขึ้นเป็น 167,000 คน และเสียชีวิตกว่า 2,000 คน ขณะจำนวนผู้ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลวันเดียวกันนั้นสูงกว่า 86,000 คน โดยที่รัฐบาลสหรัฐฯ พยายามเร่งรัดการแจกจ่ายวัคซีนป้องกัน คาดว่าจะ แจกจ่ายวัคซีนต้านไวรัสโคโรนาของไฟเซอร์-ไบโอเอ็นเทค ได้ตั้งแต่สัปดาห์แรกหลังได้รับการอนุมัติฉุกเฉินเป็นจำนวนกว่า 6 ล้านโดส และเพิ่มเป็น 40 ล้านโดสปลายเดือนหน้า
ทั้งนี้ สำนักงานอาหารและยาสหรัฐฯ (เอฟดีเอ) มีกำหนดประชุมเพื่อพิจารณาอนุมัติฉุกเฉินการใช้วัคซีนดังกล่าวในวันที่ 10 ธันวาคม
แต่ขณะที่อเมริกาเผชิญการระบาดอย่างหนัก หลายประเทศในยุโรปได้ค่อยๆ ผ่อนคลายมาตรการจำกัดก่อนเข้าสู่เทศกาลคริสต์มาส หลังจากมาตรการล็อกดาวน์ซึ่งใช้มานานหลายสัปดาห์ส่งผลให้การระบาดระลอกสองซาลง
ในวันอังคาร (24) ประธานาธิบดี เอมมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส แถลงถ่ายทอดทางทีวีว่า จะอนุญาตให้ร้านค้าเปิดให้บริการได้อีกครั้งตั้งแต่วันเสาร์ที่จะถึง (28) และยกเลิกคำสั่งกักตัวอยู่บ้านทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม
ทางการอังกฤษประกาศเช่นกันว่า จะผ่อนคลายกฎเว้นระยะห่างทางสังคมและการเดินทางทั่วประเทศในช่วงคริสต์มาส
ที่เยอรมนี 16 รัฐตกลงผ่อนคลายข้อจำกัดในการเว้นระยะห่างทางสังคมในช่วงคริสต์มาส โดยจะอนุญาตการรวมกลุ่มทำกิจกรรมจากไม่เกิน 5 คน เพิ่มเป็นไม่เกิน 10 คน ในระหว่างวันที่ 23 ธันวาคม ถึง 1 มกราคม แม้จำนวนผู้ติดเชื้อสะสมใกล้ถึง 1 ล้านคนก็ตาม
ด้านออสเตรเลีย ในวันพุธ (25) แกลดิส เบเรจิกเลียน นายกรัฐมนตรีรัฐนิวเซาท์เวลส์ ซึ่งเป็นรัฐที่มีประชากรมากที่สุดของแดนจิงโจ้ ประกาศผ่อนคลายมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมและอนุญาตให้พนักงานกลับไปทำงานตามปกติ หลังจากไม่พบการระบาดในท้องถิ่นนาน 3 สัปดาห์
ส่วนสิงคโปร์ ประกาศในวันเดียวกันว่า ไม่พบผู้ติดเชื้อในท้องถิ่นนาน 2 สัปดาห์ รวมทั้งยังสามารถกำจัดการระบาดแบบกลุ่มก้อนในเขตที่พักคนงานต่างชาติได้สำเร็จ
ที่พักคนงานที่แออัด ซึ่งเป็นที่อาศัยของแรงงานหนุ่มสาวต่างด้าวค่าจ้างต่ำ ส่วนใหญ่มาจากบังกลาเทศ อินเดีย และจีน กลายเป็นศูนย์กลางการระบาดในสิงคโปร์เมื่อช่วงต้นปี โดยในเดือนเมษายนมีการระบาดรุนแรงที่สุด ทำให้สิงคโปร์ซึ่งทำท่าสามารถควบคุมโรคได้ดีมากก่อนหน้านั้น กลับกลายเป็นชาติที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก่อนถูกอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์แซงหน้านับจากนั้น
ข่าวดียังมาจากจีน ซึ่งพบเคสใหม่เพียง 5 คนในวันอังคาร ทั้งหมดเดินทางมาจากต่างประเทศ ลดลงจาก 22 คนในวันจันทร์ (23)
อย่างไรก็ตาม สำหรับญี่ปุ่นกลับพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นในหลายพื้นที่ ส่งผลให้เมืองต่างๆ เช่น โอซากาและซัปโปโร ต้องยกเลิกการเป็นจุดหมายปลายทางของโครงการรณรงค์ส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ หลังจากผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า การผ่อนคลายกฎเพื่อให้มีการท่องเที่ยวเช่นนั้น เป็นสาเหตุให้จำนวนผู้ติดเชื้อพุ่งขึ้นและญี่ปุ่นเผชิญการระบาดรอบสามอยู่ในขณะนี้
นอกจากนั้น วันพุธ โตเกียวยังประกาศให้ประชาชนในเมืองหลวงหลีกเลี่ยงการออกนอกบ้านโดยไม่จำเป็น และขอให้ร้านขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ปิดให้บริการเร็วขึ้น
ทั้งนี้ รายงานล่าสุดของมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ ระบุว่า ทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตจากไวรัสโคโรนากว่า 1.4 ล้านคน และยอดผู้ติดเชื้อสะสมใกล้ถึง 60 ล้านคน