ผู้โดยสารคนเดียวแพร่กระจายชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ไปยังคนอื่นๆ อีก 15 คนที่อยู่บนเที่ยวบินเดียวกัน จากลอนดอนมุ่งสู่กรุงฮานอย เมืองหลวงของเวียดนาม ตามผลการศึกษาใหม่ที่เผยแพร่โดยศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯ เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว และสื่อมวลชนหลายแห่งหยิบมานำเสนอในวันจันทร์ (21 ก.ย.)
พวกนักวิจัยระบุว่า ผู้หญิงวัย 27 ปี จากเวียดนาม ซึ่งมีอาการระคายคอและไอก่อนขึ้นเครื่อง คือต้นตอของการแพร่ระบาด โดยมีผู้โดยสาร 12 คนในชั้นธุรกิจ และ 2 คนในชั้นประหยัด เช่นเดียวกับลูกเรือ 1 คน ติดเชื้อบนเที่ยวบินจากเมืองหลวงของอังกฤษมุ่งหน้าสู่ฮานอย เมื่อวันที่ 1 มีนาคม
เมื่อเดือนทางถึงจุดหมาย อาการต่างๆ ของเธอหนักขึ้น และอีก 4 วันต่อมา ผลตรวจเชื้อโควิด-19 ออกมาเป็นบวก
ผลการศึกษาระบุว่า ในวันที่ 10 มีนาคม ได้มีการติดตามผู้สัมผัส (contact tracing) สำหรับผู้โดยสารและลูกเรือทั้ง 217 คนบนเที่ยวบินของสายการบินเวียดนาม แอร์ไลน์ส ซึ่งแม้พบว่าบรรดาผู้โดยสารบนเที่ยวบิน จะกระจายเดินทางต่อไปยังจังหวัดต่างๆ รวมทั้งสิ้น 15 แห่งในเวียดนาม แต่ไม่พบหลักฐานที่ชี้ชัดว่ามีการแพร่เชื้อโควิด-19 สู่คนอื่นๆ นอกเหนือจากบรรดาผู้โดยสารที่อยู่บนเที่ยวบิน
“ความเสี่ยงแพร่เชื้อ SARS-CoV-2 บนเที่ยวบิน ระหว่างเที่ยวบินระยะไกลคือของจริง และมีความเป็นไปได้ที่จะก่อกลุ่มก้อนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ขนาดใหญ่” ผลการศึกษาระบุ “การค้นพบของเรา เรียกร้องให้ยกระดับคัดกรองเข้มข้นขึ้น และขอให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุข, บรรดาผู้ควบคุมกฎระเบียบและอุตสาหกรรมการบิน ใช้มาตรการต่างๆ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ”
เจ้าหน้าที่สาธารณสุขระบุว่า ในช่วงเวลาดังกล่าวผู้โดยสารและลูกเรือของเที่ยวบิน VN54 ขาเข้า ไม่ได้ถูกบังคับสวมหน้ากากบนเครื่องบินหรือบริเวณสนามบิน โดยในตอนนั้นผู้โดยสารจากประเทศต่างๆ ที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในนั้นรวมถึงอังกฤษ จะถูกคัดกรองโดยกล้องตรวจจับอุณหภูมิเมื่อเดินทางมาถึง แต่การศึกษาไม่ได้ระบุว่าทำไม่ผู้หญิงรายนี้ถูกเล็ดลอดการตรวจไปได้
ผลการศึกษาใหม่ที่เผยแพร่ออกมา ตอกย้ำความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 บนเครื่องบิน หลังจากก่อนหน้านี้หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ รายงานว่าศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯ พบผู้โดยสารเกือบ 11,000 คนที่ติดเชื้อโควิด-19 บนเที่ยวบินต่างๆ
(ที่มา : เอ็นบีซีนิวส์)