เอเอฟพี - เมื่อวานนี้ (14 ก.ค.) หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์สของสหรัฐฯ แถลงจะเคลื่อนย้ายฮับข่าวดิจิทัลของตัวเองจากฮ่องกงไปที่เกาหลีใต้ หวั่นเสรีภาพสื่อสารมวลชนถูกกระทบหลังปักกิ่งบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงใหม่ติดหนวด
เอเอฟพีรายงานวันนี้ (15 ก.ค.) ว่า ความเคลื่อนไหวของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์สของสหรัฐฯในวันอังคาร (14) ถือเป็นความเคลื่อนไหวใหญ่แรกขององค์กรสื่อระหว่างประเทศนับตั้งแต่กฎหมายความมั่นคงใหม่จีนถูกบังคับใช้ในฮ่องกงเมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา
ซึ่งในอีเมลที่แจ้งต่อพนักงาน ผู้บริหารนิวยอร์กไทม์ส กล่าวว่า กฎหมายใหม่นั้นสร้างความไม่แน่นอนให้ถึงกฎใหม่นั้น จะมีผลอย่างไรต่อการทำงานและความเป็นสื่อมวลชนของเรา”
และเสริมต่อว่า “เรารู้สึกว่ามันเป็นการฉลาดที่จะเตรียมแผนการรับมือและเริ่มที่จะกระจายเจ้าหน้าที่เรียบเรียงไปทั่วทั้งภูมิภาค”
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์สมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในฮ่องกงเป็นเวลานานหลายสิบปี รับผิดชอบสำหรับการออกหนังสือพิมพ์ฉบับภาคพื้นเอเชีย และไม่นานมานี้ทำหน้าที่ดูแล 24 ชั่วโมง สำหรับข่าวบนสื่อแพลตฟอร์มดิจิทัลของนิวยอร์กไทม์สพร้อมไปกับ 2 ฮับใหญ่ที่กรุงลอนดอน และนิวยอร์ก ซิตี
โดยในการแถลงทางนิวยอร์กไทม์สประกาศจะเคลื่อนย้ายทีมข่าวดิจิทัล ซึ่งคิดเป็น 1 ใน 3 ของพนักงานทั้งหมดประจำฮ่องกงย้ายไปกรุงโซลภายในปีหน้า ทางหนังสือพิมพ์กล่าวว่า เมื่อไม่นานมานี้ ทางหนังสือพิมพ์ประสบกับความยากลำบากในการได้รับใบอนุญาตในการทำงานให้กับพนักงานประจำฮ่องกง ซึ่งอาจกล่าวว่าเป็นเรื่องปกติที่จะเกิดในจีนแผ่นดินใหญ่ แต่เกิดขึ้นน้อยครั้งมากในฮ่องกง
ทั้งนี้ พบว่า เมื่อช่วงต้นปีนี้จีนได้ออกคำสั่งไล่นักข่าวไม่กี่คนที่ทำงานให้สื่อสหรัฐฯ รวมไปถึง หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ส ที่เห็นเป็นการตอบโต้กับวอชิงตัน และพบว่า มีนักข่าวของนิวยอร์กไทม์สบางส่วนที่ถูกไล่ออกได้ย้ายไปประจำที่กรุงโซลของเกาหลีใต้แล้ว
ที่ฮ่องกงนอกจากนิวยอร์กไทม์สพบว่า ยังเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของ CNN เอเอฟพี หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัล บลูมเบิร์ก และไฟแนนเชียลไทม์ส
เอเอฟพีชี้ว่า นอกจากนี้ ความกลัวและวิตกในเสรีภาพยังแพร่กระจายเข้าสู่ระดับสถาบันการศึกษาในฮ่องกง โดยมีนักวิชาการจำนวนมากต่างวิตกว่า เสรีภาพและความเป็นเลิศทางวิชาการของฮ่องกงจะตกอยู่ในความเสี่ยง
อีเมลที่ถูกส่งไปยังอาจารย์วิทยาลัย HKU SPACE ซึ่งอยู่ในเครือของมหาวิทยาลัยฮ่องกงชื่อดังมีใจความว่า “คงความเป็นกลางในการสอนของคุณและระมัดระวังภาษาที่คุณใช้”
และในอีเมลกล่าวว่า “พฤติกรรมใดๆ ที่ส่งไปถึงทำให้เกิดการถกเถียงในประเด็นที่อ่อนไหวต้องหลีกเลี่ยง”
เอเอฟพีรายงานว่า เป็นอีเมลที่มาจากผู้อำนวยการโครงการมนุษยศาสตร์และคณะกฎหมาย ซึ่งในอีเมลระบุอย่างชัดเจนว่าจะไม่มีความอดทนต่อการเมืองหรือความเห็นเชิงการเมืองของบุคคลที่ถูกนำเข้าสู่ชั้นเรียน
โดยหนึ่งในผู้ได้รับแสดงความเห็นกับเอเอฟพีว่า ทำให้เป็นการเซ็นเซอร์ตัวเองในชั้นเรียนไปโดยปริยาย
ในแถลงการณ์ของมหาวิทยาลัยฮ่องกงกล่าวชี้แจงว่า อีเมลที่เกิดขึ้นเป็นการสื่อสารภายใน และไม่ใช่นโยบายอย่างเป็นทางการ แต่อย่างไรก็ตาม บรรยากาศการเมืองภายในชั้นเรียนต้องมีความเป็นกลางระหว่างผู้ร่วมมีเป้าหมายเพื่อการศึกษาทางวิชาการ