รอยเตอร์/เอเจนซีส์ - วันนี้ (27 พ.ค.) ผู้นำสหรัฐฯเสนอตัวเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยปัญหาพรมแดนเขตหิมาลัย ระหว่างจีนและอินเดีย ที่กำลังตึงเครียด พบมีการส่งทหารร่วม 5,000 นาย รวมยานยนต์หุ้มเกราะเข้าพื้นที่ เกิดขึ้นหลังการเจรจาเจ้าหน้าที่กองทัพ 2 ชาติ เมื่อวันที่ 22-23 พ.ค. ไม่มีผลสำเร็จ
รอยเตอร์รายงานวันนี้ (27 พ.ค.) ว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้แถลงผ่านทวิตเตอร์วันพุธ (27) ว่า “ทางเราได้แจ้งต่อทั้งจีนและอินเดียว่าสหรัฐฯนั้นพร้อม และมีความปรารถนาที่จะเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยต่อปัญหาข้อพิพาทพรมแดนของชาติทั้งสอง”
ทั้งนี้ พบว่า ความตึงเครียดได้เกิดขึ้นหลังอินเดียได้ก่อสร้างถนนและลานลงจอดเครื่องบินในแถบนั้น รวมไปถึงแข่งขันกับจีนในโครงการความริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางของปักกิ่งที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการลงทุนในหลายสิบประเทศ นักสังเกตการณ์อินเดียกล่าวเมื่อวานนี้ (26)
พบว่าทั้งจีนและอินเดียต่างเริ่มสร้างกำแพงและรถบรรทุกจีนได้ทำการเคลื่อนย้ายอุปกรณ์เข้ามาในพื้นที่ เจ้าหน้าที่กล่าว สร้างความวิตกว่าความตึงเครียดจะถูกขยายตัวออกไป
หนังสือพิมพ์ฮ่องกง เซาท์มอร์นิงไชน่าโพสต์ รายงานเพิ่มเติมถึงความขัดแย้งว่า อินเดียได้เคลื่อนกำลังพลเพิ่มเติมเข้ามาประจำตลอดแนวป้องกันทางตอนเหนือในกรณีที่ความขัดแย้งอาจบานปลายกับจีนประเทศเพื่อนบ้าน เกิดขึ้นหลังการหารือไม่กี่รอบที่ผ่านมาล้มเหลว
อย่างไรก็ตาม สำหรับจีนพบว่าปักกิ่งได้ส่งกำลังทหารราว 5,000 นาย พร้อมยานยนต์หุ้มเกราะเข้าไปบริเวณพรมแดนที่ภูมิภาคลาดัคฮ์ (Ladakh) ก่อนหน้าแล้ว อ้างอิงจากแหล่งข่าวรัฐบาลอินเดียที่ไม่เปิดเผยชื่อ
แหล่งข่าวเจ้าหน้าที่อินเดียให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า นิวเดลีกำลังอยู่ในระหว่างการส่งกำลังเพิ่มเติมด้วยจำนวนตัวเลขที่ใกล้กันเข้าไปรวมไปถึงปืนใหญ่ตลอดแนวพรมแดนความขัดแย้งเพื่อปกป้องจากการคุกคามจากกองทัพจีน
การเผชิญหน้าเริ่มต้นเมื่อวันที่ 5 พ.ค.เมื่อกองกำลังได้เกิดปะทะที่ริมตลิ่งผางกงโฉ (Pangong Tso) ซึ่งเป็นทะเลสาบปิดในเทือกเขาหิมาลัย อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 4,350 ม. มีความยาว 134 กม. ในแนวยาวข้ามเขตแดนระหว่างประเทศอินเดียและเขตการปกครองตนเองทิเบต มีความกว้างแคบสุด 5 กม. มีพื้นที่รวม 604 ตร.กม. การปะทะส่งผลทำให้ทหารจำนวนมากจาก 2 ฝ่าย บาดเจ็บ และส่งผลทำให้มีการส่งกำลังเข้าไปเผชิญหน้าระหว่างกันนับตั้งแต่นั้น
สื่อฮ่องกงรายงานว่า นักการทูตในกรุงนิวเดลีและกรุงปักกิ่งได้เริ่มต้นการเจรจาหลังจากที่การเจรจาระหว่างเจ้าหน้าที่กองทัพอินเดียและกองทัพจีน เมื่อวันที่ 22-23 พ.ค ที่ผ่านมา ไม่ประสบผลสำเร็จ เจ้าหน้าที่กล่าว
และจีนได้เริ่มยกระดับการโจมตีใน 2 จุด ที่ต่างออกไปตลอดแนวพรมแดน 3,488 กม. ซึ่งถือเป็นการเบี่ยงเบนจากความพยายามในครั้งแรกที่ต้องการยึดพื้นที่หลังจากที่ 2 ชาติ ได้สู้รบเมื่อปี 1962
โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีนได้ออกมาแก้ตัวในการแถลงข่าวประจำวันในวันพุธ (27) ว่า ทางปักกิ่งพันธะที่ต้องปกป้องสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค พร้อมชี้ว่า ทั้ง 2 ชาติมีระบบเกี่ยวข้องกับพรมแดนที่ดีและช่องทางการสื่อสาร
ขณะเดียวกัน ในวันอังคาร (26) พบว่า นายกรัฐมนตรีอินเดีย นเรนทรา โมดี ได้หารือเครียดถึงปัญหาการเผชิญหน้ากับปักกิ่งร่วมกับ อจิต โดวาล (Ajit Doval) ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติอินเดีย ประธานคณะเสนาธิการทหารร่วมอินเดีย พลเอก บิพิน ราวัต (General Bipin Rawat) และผู้บัญชาการทหารจาก 3 เหล่าทัพของอินเดีย โดยมีประเด็นการหารือไปที่ทางเลือกที่อยู่บนโต๊ะสำหรับอินเดียที่จะหยิบใช้ในความขัดแย้งกับจีนครั้งนี้ และผลออกมาพบว่า โมดีเลือกที่จะใช้ช่องทางการทูตพร้อมไปกับยังคงกำลังทางการทหารที่แข็งแกร่งตลอดแนวพรมแดน
ภายใต้การนำของโมดี พบว่า อินเดียได้เริ่มสร้างโครงสร้างพื้นฐานบริเวณพรมแดนที่กล่าวว่าไม่ได้มีเป้าหมายเจาะจงไปที่ประเทศหนึ่งประเทศใดแต่ต้องการพัฒนาพื้นที่ในเขตกันดาร และพบว่า ได้สร้างถนนเชิงยุทธศาสตร์เสร็จสิ้นไปแล้ว 74 เส้นตลอดแนวพรมแดนทางทิศตะวันออก และมีแผนที่จะทำให้อีก 20 เส้นทางสำเร็จให้ได้ภายในปีถัดไป