เอเจนซีส์ - ไอราน แบร์รี (Airan Berry) ทหารอเมริกันรับจ้างคนที่ 2 ถูกสอบปากคำกลางทีวีเวเนซุเอลา วันพฤหัสบดี (7 พ.ค.) ยืนยันว่า ทางทีมถูกสั่งให้บุกเข้ายึดทำเนียบประธานาธิบดีเวเนซุเอลา ที่มีการรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนาในกรุงคาราคัส ขณะที่ นิโคลัส มาดูโร ออกแถลงต่อเนื่อง พบวอชิงตันตัดทุกช่องทางการสื่อสารกับเวเนซุเอลาหลังเกิดเรื่อง ด้านคณะกรรมาธิการต่างประเทศประจำสภาสูงสหรัฐฯ ยื่นจดหมายถึงรัฐมนตรีของทรัมป์ ถามเรื่องบุกเวเนซุเอลา ส่วนสำนักงาน DEA สอบสวนผู้ก่อตั้งบริษัท ซิลเวอร์คอร์ป ยูเอสเอ นายจ้าง 2 ทหารรับจ้างอเมริกัน
หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียน สื่ออังกฤษ รายงานเมื่อวานนี้ (7 พ.ค.) ว่า ไอราน แบร์รี (Airan Berry) ทหารอเมริกันรับจ้างคนที่ 2 ซึ่งเป็นอดีตทหารหน่วยรบพิเศษสหรัฐฯวัย 41 ปี ปรากฎตัวทางโทรทัศน์เวเนซุเอลาในวันพฤหัสบดี (7) เกิดขึ้นหลังจากเพื่อนร่วมทีม ลุค เดนแมน ถูกนำตัวออกอากาศ 1 วันก่อนหน้า
สื่ออังกฤษชี้ว่า การสอบปากคำที่มีการตัดต่อพบว่าแบร์รียอมรับว่า หนึ่งในเป้าหมายปฏิบัติการ คือ การบุกเข้ายึดทำเนียบประธานาธิบดีเวเนซุเอลาของประธานาธิบดี นิโคลัส มาดูโร กลางกรุงคาราคัส
และเมื่อถูกถามว่า จะนำตัวมาดูโรออกจากทำเนียบประธานาธิบดีที่ถูกสร้างตั้งแต่ในศตวรรษที่ 19 และมีการคุ้มกันอย่างเข้มงวด เขาซึ่งเป็นอดีตทหารผ่านศึกสหรัฐฯสงครามอิรักตอบกลับมาว่า “ผมไม่ค่อยแน่ใจเท่าใดนัก แต่มันจำเป็น”
นอกจากนี้ ยังสารภาพว่า ทางทีมได้วางแผนที่จะเข้ายึดลานบิน ลา คาร์โลตา (La Carlota) ในฐานทัพอากาศเวเนซุเอลาซึ่งอยู่ใจกลางกรุงคาราคัสเพื่อที่จะนำตัวมาดูโรขึ้นเครื่องออกนอกประเทศไป
พบว่า ฐานทัพแห่งนี้ตั้งออกไป 6 ไมล์ทางตะวันตกของ มิราโฟลเรส (Miraflores) ทำเนียบมาดูโร
แบร์รีอดีตจ่าทหารช่างหน่วยรบพิเศษสหรัฐฯถูกถามว่า เครื่องบินที่ไหนที่จะนำตัวผู้นำเวเนซุเอลา เขาตอบกลับมาว่า “เชื่อว่าน่าจะเป็นสหรัฐฯ”
ซึ่งก่อนหน้านั้น ลุค เดนแมน (Luke Denman) ได้รับสารภาพลางอากาศกับเจ้าหน้าที่เวเนซุเอลา ว่า เขาได้รับมอบหมายให้จับตัวมาดูโรและนำตัวกลับไปสหรัฐฯ
สื่อนิวยอร์กโพสต์รายงานว่า จอร์แดน กูโดร (Jordan Goudreau) เจ้าของบริษัทการทหารซิลเวอร์คอร์ป ยูเอสเอ (Silvercorp USA) ที่เป็นเจ้านายของทหารอเมริกันรับจ้าง 2 นาย และวางแผนปฏิบัติการบุกเวเนซุเอลาเวลานี้กำลังตกที่นั่งลำบาก เพราะถูกหน่วยงานรัฐบาลกลางสหรัฐฯด้านปราบปรามยาเสพติด DEA สอบสวนคดีลักลอบค้าอาวุธ
ซึ่งจากรายงานพบว่า เขาอยู่ภายใต้การจับตาของ DEA มาตั้งแต่มีนาคม โดยแหล่งข่าวอดีตเจ้าหน้าที่รักษากฎหมาย 2 คน ได้เปิดเผยว่า สายสืบได้ให้เบาะแสกับสำนักงาน DEA ในเดือนมีนาคมว่ากูโดรกำลังสะสมอาวุธทางการทหารที่โคลอมเบีย เพื่อแผนการบุกบางอย่าง แต่ไม่มีการเปิดการสอบสวนเพราะทางหน่วยงานไม่รู้ว่ากูโดรคือใคร
การบุกยึดอาวุธมูลค่า 150,000 ดอลลาร์ รวมไปถึงอาวุธปืนไรเฟิลผลิตในสหรัฐฯอีก 26 กระบอก ที่มีการลบเลขซีเรียลนัมเบอร์ รวมไปถึงกล้องส่องกลางคืน วิทยุสื่อสาร และอุปกรณ์อื่นๆ ส่งผลทำให้เริ่มมีการสอบสวนในตัวกูโดร
ในรายงานชี้ว่า แต่ถึงแม้จะมีการยึดสิ่งเหล่านี้ แผนการบุกยังคงเดินหน้าต่อไป
ด้าน ส.ว.พรรคเดโมแครตออกมาเรียกร้องให้สหรัฐฯตอบคำถามเกี่ยวกับพลเมืองสหรัฐฯที่ถูกจับในเวเนซุเอลา เดอะฮิลล์รายงานว่า คณะกรรมาธิการด้านกิจการระหว่างประเทศประจำสภาสูงสหรัฐฯในวันพฤหัสบดี (7) ได้ออกมาเรียกร้องให้ เจ้าหน้าที่รัฐบาลประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แชร์ข้อมูลเกี่ยวข้องกับปฎิบัติการทางทหารที่ล้มเหลวในเวเนซุเอลาซึ่งเกี่ยวข้องกับมาดูโร
โดยในจดหมายที่ส่งถึงรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ไมค์ พอมเพโอ และรัฐมนตรียุติธรรมสหรัฐฯ วิลเลียม บาร์ และรักษาการผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติ ริชาร์ด เกรเนลล์ (Richard Grenell) ทางสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐฯเรียกร้องให้ตอบคำถามว่า ***รัฐบาลสหรัฐฯได้ให้ความช่วยเหลือในปฎิบัติการบุกที่ล้มเหลวนี้หรือไม่***
พร้อมกันนี้ ยังต้องการทราบถึงนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯที่มีต่อเวเนซุเอลา โดยชี้ว่า การสนับสนุนในปฏิบัติการทางทหารจะถือว่าเป็นการละเมิดต่อกฎหมายเวอร์ดาด (VERDAD Act) ที่เพิ่งผ่านการบังคับใช้ธันวาคมปีที่แล้วที่ระบุว่า นโยบายการต่างประเทศของสหรัฐฯนั้น เกี่ยวข้องทางการทูตเพื่อความก้าวหน้าในผลลัพท์ของการเจรจาต่อวิกฤตทางการเมือง เศรษฐกิจ และมนุษยชนขั้นพื้นฐานของเวเนซุเอลา
RT รายงานว่า ผู้นำเวเนซุเอลาให้สัมภาษณ์กับนักข่าวอุกรุกวัยในค่ำวันพฤหัสบดี (7) เจมส์ สตอรีย์ (James Story) เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้ง รวมไปถึงเจ้าหน้าที่สหรัฐฯระดับสูงคนอื่นๆ เป็นพวกที่ต้องได้รับผิดชอบต่อเหตุการบุกขึ้นฝั่งเวเนซุเอลา
“เจมส์ สตอรีย์ มีทั้งเท้า มือ และร่างกายทั้งหมดของเขาในการบุกพร้อมอาวุธครั้งนี้” มาดูโร กล่าว และเสริมต่อว่า เอกสารลับที่ถูกสั่งให้เปิดเผยได้ในไม่ช้าจะแสดงให้เห็นถึงหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับพอมเพโอ และผู้แทนพิเศษประจำเวเนซุเอลา อีเลียต เอแบรมส์ (Elliot Abrams)
มาดูโรกล่าวต่อว่า หลักฐานจะแสดงว่า ผู้นำสหรัฐฯ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นผู้ออกคำสั่งด้วยตัวเองในปฏิบัติการนี้
สื่อรัสเซียชี้ว่า ในการให้สัมภาษณ์มาดูโรยอมรับว่า ทั้ง 2 ฝ่ายมีช่องสื่อสารติดต่อกันตลอดเวลาถึงแม้ในช่วงเวลาที่มีความตึงเครียดสูง แต่เขากล่าวว่าหลังจากที่เกิดปฏิบัติการบุกขึ้นฝั่งเวเนซุเอลาขึ้น สหรัฐฯไม่ตอบรับสัญญาณจากฝั่งเวเนซุเอลาและหายเงียบโดยสิ้นเชิง
“พวกเขาไม่ตอบทางวอตช์แอป ทางโทรศัพท์ พวกเขาเงียบเสียง” และมาดูโรเสริมว่า “เรามีช่องทางการสื่อสาร 3 ช่องทางกับเจ้าหน้าที่ 3 คนในรัฐบาลทรัมป์ ทางเราได้ส่งข้อความไปให้คนเหล่านี้แต่ไม่มีการตอบกลับมา”
โดยย้ำว่า “เป็นไปไม่ได้ที่ในอีก 48 ชั่วโมงภายหลัง สหรัฐฯจะไม่กล่าวอะไรเลยเกี่ยวกับการโจมตีจากลุ่มทหารรับจ้างที่ได้รับคำสั่งจากพวกเขาในการต่อต้านเวเนซุเอลา”
ทั้งนี้ เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐฯได้สั่งฟ้องดำเนินคดีต่อตัวผู้นำเวเนซุเอลาในความผิดค้ายาเสพติดข้ามชาติ พร้อมรางวัลนำจับ 15 ล้านดอลลาร์ และในข้อหาเดียวกันยังเกิดขึ้นกับพลเมืองเวเนซุเอลาอีก 14 คน ส่งผลทำให้มาดูโรออกมาประณามในเวลาต่อมา