เซาต์ไชนามอร์นิงโพสต์ - ยอดผู้เสียชีวิตจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในญี่ปุ่น (โควิด-19) อาจแตะระดับ 400,000 คน หากว่าไม่ลดการสัมผัสกันและกัน และไม่มีมาตรการเชิงป้องกันในความพยายามควบคุมการแพร่ระบาด จากคำเตือนของหนึ่งในคณะทำงานพิเศษของกระทรวงสาธารณสุขในวันพุธ (15 เม.ย.) ซึ่งมีขึ้นท่ามกลางเสียงโวยวายดังขึ้นเรื่อยๆ อันเนื่องจากความไม่พอใจของประชาชนที่มีต่อแนวทางรับมือกับวิกฤตของรัฐบาล
คณะทำงานพิเศษของกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า จากการจำลองสถานการณ์แสดงให้เห็นว่า มันมีความสำคัญมากแค่ไหนที่พวกเจ้าหน้าที่ต้องใช้มาตรการต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพในการลดการติดต่อทางสังคม ขณะที่ความร่วมมือของประชาชนในการปฏิบัติตามคำแนะนำต่างๆ เหล่านั้นก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
ฮิโรชิ นิชิอุระ ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยฮอกไกโด และผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อของคณะทำงานพิเศษแห่งกระทรวงสาธารณสุข เรียกร้องลดการติดต่อระหว่างบุคคลให้ได้ในระดับ 80% ระหว่างประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบันในหลายจังหวัด ในนั้นรวมถึงกรุงโตเกียว และโอซากา
“เราสามารถหยุดการแพร่เชื้อได้ หากว่าเราลดการติดต่อระหว่างบุคคลให้เยอะที่สุด” เขากล่าว พร้อมระบุว่า รัฐบาลคาดหมายว่า ยอดผู้เสียชีวิตคงไม่ถึงระดับ 400,000 คน หากว่ามาตรการเหล่านี้ถูกนำไปปฏิบัติอย่างจริงจัง
สำนักข่าวเอ็นเอชเค รายงานว่า จนถึงวันพุธ (15 เม.ย.) ยอดผู้ติดเชื้อสะสมในญี่ปุนมีมากกว่า 8,000 คน ในนั้นเสียชีวิต 162 ราย
จากตัวเลขผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เริ่มพบเห็นสัญญาณว่าระบบสาธารณสุขของญี่ปุ่นกำลังอยู่ในภาวะตึงเครียดอย่างหนัก ด้วย 9 จากทั้งหมด 47 จังหวัดของญี่ปุ่น เตียงฉุกเฉินตามโรงพยาบาลต่างๆ ที่จัดสรรไว้สำหรับรองรับผู้ป่วยโควิด-19 ใกล้เต็มหมดแล้ว
ขณะเดียวกัน รัฐบาลเมืองโอซากา ถึงขั้นต้องร้องขอประชาชนให้ช่วยกันบริจาคชุดกันฝนแก่โรงพยาบาลต่างๆ ในขณะที่ชุดป้องกันเชื้อโรคของเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขใกล้หมดสต๊อก
อิชิโร มัตซูอิ นายกเทศมนตรีโอซากา ระบุเมื่อวันอังคาร (14 เม.ย.) ว่า คณะแพทย์และพยาบาลตามโรงพยาบาลต่างๆ ในเมืองใหญ่สุดอันดับ 2 ของประเทศ จำเป็นต้องสวมถุงขยะสีดำแทนชุดป้องกันการติดเชื้อยามที่ต้องรักษาคนไข้ และทางเมืองได้ร้องขอให้บริษัทท้องถิ่นซึ่งผลิตชุดที่มีความคล้ายคลึงกัน ยกระดับกำลังผลิตและขายชุดเหล่านั้นให้แก่ทางเมือง
ไมเอโกะ นาคาบายาชิ อดีตนักการเมืองของพรรคประชาธิปไตยแห่งญี่ปุ่น และตอนนี้เป็นศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยวาเซดะ บอกว่า “แพทย์กลัวกันมาก เพราะว่ารัฐบาลไม่เคลื่อนไหวรวดเร็วเพียงพอ และไม่เด็ดขาดมากพอ และฉันรู้เพราะว่าสามีของฉันเป็นแพทย์และอยู่ในคณะกรรมการสมาคมโรงพยาบาลโตเกียว
หลายจังหวัด ซึ่งในนั้นรวมถึงจังหวัดที่ไม่ได้อยู่ภายใต้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ได้ร้องขอให้ธุรกิจต่างๆ ระงับปฏิบัติการ ส่วนหนึ่งในมาตรการสกัดการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่จังหวัดต่างๆ เหล่านี้วางเป้าให้วันที่ 6 พฤษภาคม เป็นวันกลับมาเปิดทำการอีกครั้งของภาคธุรกิจเชิงพาณิชย์ที่ไม่มีความจำเป็น ขณะที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินส่งผลกระทบอย่างสาหัสต่อระบบเศรษฐกิจ
จากในทีแรกแนวทางตอบสนองต่อโรคระบาดใหญ่ของนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ ไม่เป็นที่โต้เถียงกันนัก แต่เวลานี้ดูเหมือนประชาชนจะหันมาโจมตีรัฐบาลของเขาด้วยความเดือดดาล
ผลสำรวจความคิดเห็นของเกียวโดนิวส์ พบว่า มีประชาชนถึง 84% ซึ่งเชื่อว่า ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินตามเมืองหลักๆ ของอาเบะเมื่อวันที่ 7 เมษายน นั้นล่าช้าเกินไป ขณะเดียวกัน เสียงสนับสนุนที่มีต่อรัฐบาลก็ลดลงมาถึง 5% เหลืออยู่ราวๆ 40%
นอกจากนี้แล้ว ผู้ตอบแบบสอบถามยังแสดงความคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกันอย่างท่วมท้น ว่า รัฐบาลจำเป็นต้องมอบความช่วยเหลือด้านการเงินแก่บริษัทต่างๆ ที่กำลัประสบปัญหาจากที่ต้องหยุดปฏิบัติการ หรือปฏิบัติการได้อย่างจำกัด
“ประชาชนกำลังโกรธ” โนริโกะ ฮามะ ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐกิจของมหาวิทยาลัยโดชิชะในเกียวโต “เราได้เห็นภาพอาเบะบนทวิตเตอร์ กอดสุนัขและดื่มชาอย่างใจเย็น มันทำให้ประชาชนตระหนักว่าเขาไม่ได้จริงจังกับสถานการณ์นี้เลย เขาไม่เข้าใจความเจ็บปวดของประชาชนทั่วไป ผู้คนใช้ชีวิตอยูในความกังวล และกำลังประสบความทุกข์ทรมานทางเศรษฐกิจอย่างแสนสาหัส” เธอกล่าว