เอเจนซีส์ - รัฐอุตตรประเทศของอินเดีย พ่นยาฆ่าเชื้อโรคที่ทำมาจากผงฟอกขาวผสมน้ำใส่แรงงานชาวอินเดียหลังจากลงจากรถบัสก่อนที่จะได้รับอนุญาตให้แยกย้าย อ้างผงฟอกขาวแบบไฮเตอร์ไม่เป็นอันตรายต่อผิวหนังมนุษย์ ยืนยันไม่ต้องการให้แรงงานเหล่านี้เป็นพาหะไวรัสไปแพร่ระบาด
CNN สื่อสหรัฐฯรายงานเมื่อวานนี้ (30 มี.ค.) ว่า ภาพจากคลิปวิดีโอแสดงให้เห็นว่ามีเจ้าหน้าที่ในชุดป้องกันสีขาวไม่ต่ำกว่า 3 คนกำลังใช้สายยางพ่นของเหลวใส่กลุ่มแรงงานอินเดียที่กำลังนั่งบนพื้นที่เมืองบาเรลลี( Bareilly)
อโชค เกาตัม (Ashok Gautam) เจ้าหน้าที่ระดับสูงในปฏิบัติการต่อต้านโรคโควิด-19 ที่รัฐอุตตรประเทศ เปิดเผยกับ CNN ว่า มีคนไม่ต่ำกว่า 5,000 คน ถูกพ่นยาผสมผงสารฟอกขาวที่คล้ายไฮเตอร์ในที่สาธารณะ เมื่อคนเหล่านี้เดินทางมาถึงก่อนที่จะได้รับอนุญาตให้แยกย้ายกลับบ้าน
“เราพ่นน้ำยาใส่คนเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของการฆ่าเชื้อโรค เราไม่ต้องการให้คนเหล่านี้เป็นพาหะไวรัส และมันสามารถติดอยู่ตามเสื้อผ้าพวกเขา ซึ่งในเวลานี้พรมแดนรัฐต่างๆ ปิดลงแล้วและดังนั้นมันจะไม่เกิดขึ้นอีก”
เกาตัม กล่าวว่า น้ำยาที่ใช้เป็นส่วนผสมของผงฟอกขาวผสมน้ำซึ่งจะไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายมนุษย์
อย่างไรก็ตาม สื่อสหรัฐฯชี้ว่า ขณะที่สารฆ่าเชื้อโรคที่มีประสิทธิภาพบนพื้นผิวมันสามารถทำให้เกิดอันตรายแก่มนุษย์ องค์การอนามัยโลก WHO ระบุว่า การที่นำเคมีภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรคพ่นไปตามร่างกายจะไม่ฆ่าเชื้อไวรัส หากว่าเชื้อนั้นอยู่ในร่างกายแล้ว
การใช้น้ำผสมผงไฮเตอร์พ่นใส่แรงงานกลับถิ่นอินเดียสร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วประเทศ ลาฟ อการ์วาล (Lav Agarwal) เจ้าหน้าที่ระดับสูงจากกระทรวงสุขภาพและความเป็นอยู่ครอบครัวอินเดียออกมายืนยันว่า “ไม่ใช่นโยบายของนิวเดลี” และคนที่มีส่วนในเรื่องนี้ถูกเรียกมาตักเตือนแล้ว พร้อมกันนี้ได้มีการสั่งการให้สอบสวนในเรื่องนี้
ด้าน นิธิช กุมาร์ (Nitish Kumar) เจ้าหน้าที่ระดับสูงเขตบาเรลลีออกมาเปิดเผยว่า ในความเป็นจริงมีคำสั่งให้ทำการฆ่าเชื้อรถบัส แต่ด้วยความกระตือรือล้นทำให้เจ้าหน้าที่พ่นใส่แรงงานอินเดียแทน
พร้อมเสริมว่า แรงงานที่ถูกพ่นด้วยน้ำยาผสมผงไฮเตอร์ในเวลานี้อยู่ในการเฝ้าระวังทางการแพทย์ที่ออกมาจากคำสั่งหัวหน้าทางการแพทย์
ทั้งนี้ ในวันอาทิตย์ (29) นายกรัฐมนตรีอินเดีย นเรนทรา โมดี ได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐต่างๆในอินเดียปิดพรมแดนของตนเอง
อินเดียมีผู้ติดเชื้อวันอังคาร (31) ที่ 1,251 คน เสียชีวิต 32 คน ส่วนปากีสถานประเทศเพื่อนบ้านมีผู้ติดเชื้อจำนวน 1,865 คน เสียชีวิต 25 คน บังกลาเทศ มีผู้ติดเชื้อ 51 คน เสียชีวิต 5 คน และ ศรีลังกา มีผู้ติดเชื้อ 132 คน และเสียชีวิต 2 คน
