เอเจนซีส์ - รัฐบาลอิหร่านแถลงยอมรับวันนี้ (11 ม.ค.) ว่าได้ยิงเครื่องบินโดยสารของยูเครนตกโดยไม่เจตนา ชี้เป็น ‘ความผิดพลาด’ จากการกระทำของมนุษย์ หลังออกมาปฏิเสธในช่วงแรกๆ ว่าไม่เกี่ยวข้องกับโศกนาฏกรรมที่คร่าชีวิตผู้โดยสารและลูกเรือไปทั้งสิ้น 176 ศพ
เครื่องบินของสายการบิน ยูเครน อินเทอร์เนชันแนล แอร์ไลน์ส ประสบอุบัติเหตุโหม่งโลกเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่อิหร่านส่งขีปนาวุธไปโจมตีฐานทัพอากาศ 2 แห่งในอิรักซึ่งมีทหารอเมริกันประจำการอยู่ โดยเป็นไปเพื่อแก้แค้นที่สหรัฐฯ ส่งโดรนไปสังหาร พล.ต.กาเซ็ม โซไลมานี ผู้บัญชาการหน่วยรบพิเศษคุดส์ (Quds) ของอิหร่าน
สหรัฐฯ และแคนาดาซึ่งสูญเสียพลเรือนไป 57 รายกล่าวโทษขีปนาวุธอิหร่านว่าเป็นสาเหตุการตกของเครื่องบินยูเครน โดยรัฐบาลออตตาวาย้ำเตือนอิหร่านว่า “ทั่วโลกกำลังจับตามองพวกคุณ”
ประธานาธิบดี ฮัสซัน รูฮานี แห่งอิหร่านทวีตข้อความวันนี้ (11) ว่า “สาธารณรัฐอิสลามอิหร่านมีความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อความผิดพลาดอันมหันต์”
“จากการสอบสวนภายในของกองทัพได้ข้อสรุปยืนยันแล้วว่า ขีปนาวุธซึ่งถูกยิงออกไปโดยความผิดพลาดของมนุษย์เป็นสาเหตุทำให้เครื่องบินยูเครนตก และคร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ไป 176 คน”
“การสอบสวนจะยังคงดำเนินต่อไปเพื่อหาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษสำหรับความผิดพลาดอันน่าเศร้าและไม่อาจอภัยให้ได้นี้”
โมฮัมหมัด จาวัด ซารีฟ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศอิหร่าน อ้างผลการสอบสวนโดยกองทัพอิหร่านซึ่งพบว่า เครื่องบินโบอิ้ง 737-800 ของยูเครนถูกยิงตก “โดยความผิดพลาดของมนุษย์ ระหว่างที่กำลังเกิดวิกฤตการณ์ซึ่งมีสาเหตุมาจากนโยบายสุ่มเสี่ยง (adventurism) ของสหรัฐฯ”
กองทัพอิหร่านยอมรับว่า ขีปนาวุธลูกหนึ่งได้พุ่งเข้าโจมตีเครื่องบินลำดังกล่าวซึ่งบินเข้าไปใกล้กับฐานทัพที่มีความอ่อนไหวเป็นพิเศษของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิหร่าน (IRGC) พร้อมทั้งแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งไปยังครอบครัวผู้เสียชีวิต
คลิปจากกล้องมือถือซึ่งมีการแชร์ต่อๆ กันทางทวิตเตอร์เผยให้เห็นว่าเครื่องบินลำนี้เกิดเพลิงลุกไหม้ก่อนจะตกกระแทกพื้นและระเบิดเป็นเสี่ยงๆ
อิหร่านประกาศเมื่อวันพฤหัสบดี (9) ว่าเตรียมจะดาวน์โหลดข้อมูลจากกล่องดำทั้ง 2 ใบเพื่อพิสูจน์ว่าเหตุการณ์ที่แท้จริงเป็นอย่างไร ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาดำเนินการราว 1-2 เดือน โดยอาจจะขอความช่วยเหลือจากรัสเซีย แคนาดา ฝรั่งเศส หรือยูเครนด้วย
ก่อนหน้านี้ อิหร่านยืนยันเสียงแข็งว่าไม่ได้ยิงโจมตีเครื่องบินยูเครน และอ้างว่าข้อครหาดังกล่าวเป็นเพียง “สงครามจิตวิทยา” ของฝ่ายตะวันตก