xs
xsm
sm
md
lg

คอลัมน์นอกหน้าต่าง: ‘สหรัฐฯ-จีน’ยังเหลือข้อพิพาทอีกเพียบ แม้ตกลงสงบศึกการค้ากันได้เมื่อวันศุกร์

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

<i>รองนายกรัฐมนตรีหลิว เหอ ของจีน ขณะเข้าพบประธานาธิบดีโดนัดล์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ที่ห้องทำงานรูปไข่ ของทำเนียบขาว ในกรุงวอชิงตัน วันศุกร์ (11 ต.ค.) ที่ผ่านมา </i>
สหรัฐฯกับจีนประกาศเมื่อวันศุกร์ (11 ต.ค.) ที่ผ่านมา ที่จะสงบศึกกันในชั่วคราวในสงครามการค้าของพวกเขาซึ่งดำเนินมาเป็นเวลา 15 เดือนแล้ว อย่างไรก็ตาม ความคับข้องไม่พอใจต่างๆ ที่พวกเขาอ้างเป็นสาเหตุนำไปสู่การตอบโต้ขึ้นภาษีศุลกากรจากสินค้าของอีกฝ่ายหนึ่งรวมเป็นมูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์นั้น ส่วนใหญ่แล้วยังคงไม่ได้รับการคลี่คลายแก้ไข

คณะบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ตกลงที่จะชะลอการขึ้นภาษีศุลกากรจากสินค้าเข้าจีนมูลค่า 250,000 ล้านดอลลาร์ซึ่งเดิมมีกำหนดบังคับใช้ตั้งแต่วันอังคาร (15) นี้ ส่วนจีนก็เห็นชอบที่จะซื้อผลผลิตการเกษตรจากสหรัฐฯเป็นจำนวนราว 50,000 ล้านดอลลาร์

การลดระดับความตึงเครียดระหว่าง 2 ประเทศที่เป็นเจ้าของเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 1 และ 2 ของโลกคู่นี้ ได้รับความยินดีพอประมาณจากตลาดการเงิน ทั้งนี้ความเป็นปรปักษ์กันของสหรัฐฯกับจีนทำให้พวกนักลงทุนอกสั่นขวัญแขวน และเป็นการเพิ่มต้นทุนค่าใช้จ่ายตลอดจนเพิ่มปัจจัยความไม่แน่นอนต่างๆ ให้แก่ธุรกิจจำนวนมาก

ประธานาธิบดีทรัมป์ ประกาศการสงบศึกครั้งนี้ ในระหว่างพบปะที่ทำเนียบขาวกับหัวหน้าคณะผู้เจรจาของฝ่ายจีน ซึ่งคือ รองนายกรัฐมนตรีหลิว เหอ ข่าวนี้ออกมาภายหลังการหารือกันเป็นเวลา 2 วันในกรุงวอชิงตัน ซึ่งเป็นการเจรจารอบที่ 13 ระหว่างคณะผู้แทนระดับสูงของทั้งสองประเทศ

“เราใช้เวลานานทีเดียวกว่าจะมาถึงจุดนี้ แต่นี่ก็เป็นอะไรซึ่งจะเป็นเรื่องยิ่งใหญ่สำหรับจีนและยิ่งใหญ่สำหรับสหรัฐฯ” ทรัมป์ บอก

กระนั้น รายละเอียดจำนวนมากยังคงต้องหารือจัดทำกันออกมาต่อไป นอกจากนั้นประเด็นปัญหาที่ถือเป็นหนามแหลมคมที่สุดหลายๆ ประเด็น --เป็นต้นว่า ข้อกล่าวหาของสหรัฐฯที่ว่าจีนบังคับให้พวกบริษัทต่างประเทศต้องส่งมอบความลับทางการค้าให้แก่แดนมังกร— ยังคงได้รับการคลี่คลายเพียงแค่บางส่วนเท่านั้น หรือบางประเด็นกระทั่งไม่ได้รับการแก้ไขเอาเลย และยังคงจำเป็นต้องมีการเจรจาต่อรองกันต่อไปอีก

“ท่านประธานาธิบดีกำลังแสดงออกเหมือนกับว่าจีนยินยอมอ่อนข้อให้มากมายอย่างแน่นอนชัดเจนแล้ว ซึ่งมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย” ดีเรค ซิสเซอร์ส ผู้ชำนาญการด้านจีนแห่ง อเมริกัน เอนเทอร์ไพรซ์ อินสทิทิว คลังความคิดฝ่ายอนุรักษนิยมชื่อดังซึ่งตั้งฐานในกรุงวอชิงตัน ให้ความเห็น

จวบจนถึงขณะนี้ ผู้เจรจาทั้งสองฝ่ายสามารถบรรลุข้อตกลงเบื้องต้นของพวกเขาได้เพียงแค่ในเชิงหลักการ ยังไม่ได้มีการลงนามเอกสารใดๆ ทั้งสิ้น

อีกทั้งภัยคุกคามที่จะเกิดการบานปลายขยายตัวขึ้นมาอีกก็ยังคงดำรงอยู่ กล่าวคือ ทรัมป์ยังไม่ได้ประกาศทิ้งแผนการที่จะขึ้นภาษีศุลกากรจากสินค้าจีนอีกระลอกหนึ่งซึ่งกำหนดเริ่มบังคับใช้ในวันที่ 15 ธันวาคม ผลิตภัณฑ์เมดอินไชน่าเหล่านี้ซึ่งมีมูลค่ารวมกันราว 160,000 ล้านดอลลาร์ เป็นส่วนที่ยังไม่เคยถูกทรัมป์รีดภาษีเพิ่มมาก่อน ดังนั้นหากเรื่องนี้ยังคงเดินหน้าต่อไป ก็จะเรียกได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่จีนส่งมายังอเมริกาจะถูกแซงก์ชั่นเล่นงานหมด

ขณะที่ยังคงให้รายละเอียดเพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับสิ่งที่ตกลงกันได้จนถึงเมื่อวันศุกร์ (11) ทำเนียบขาวก็บอกด้วยว่า ปักกิ่งได้ให้คำมั่นสัญญาที่จะโปร่งใสมากขึ้นในเรื่องเกี่ยวกับวิธีการที่พวกเขากำหนดค่าเงินสกุลหยวนของพวกเขา คณะบริหารทรัมป์นั้นกล่าวหามานานแล้วว่าจีนปั่นค่าเงินของตนให้ต่ำกว่าความเป็นจริง เพื่อให้ผู้ส่งออกของตนในเปรียบในการแข่งขันในตลาดต่างประเทศทั้งหลาย

นอกจากนั้นแล้ว จีนยังตกลงที่จะเปิดตลาดของตนเองให้แก่บรรดาธนาคารสหรัฐฯและกิจการให้บริการทางการเงินอื่นๆ ของสหรัฐฯ สตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังอเมริกันบอก

สงครามการค้าเท่าที่ดำเนินมา ได้ก่อความเสียหายทางเศรษฐกิจให้แก่ทั้ง 2 ประเทศ พวกผู้ผลิตอุตสาหกรรมสหรัฐฯได้รับความกระทบกระเทือนหนักด้วยต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากภาษีศุลกากรและจากความไม่แน่นนอนในเรื่องที่ว่าความเป็นปรปักษ์ทางการค้ากันนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อใดและในลักษณะไหน ดังนั้นจึงเห็นกันว่า ข้อตกลงสงบศึกในวันศุกร์ (11) อย่างน้อยก็เป็นการเปิดประตูสู่ความคืบหน้า

“พวกเขากำลังพยายามที่จะลดความตึงเครียดลงมา” นี่เป็นความเห็นของ ทิโมธี คีเลอร์ อดีตประธานเจ้าหน้าที่ของสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ “ผมคิดว่ามันสนองผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย เนื่องจากทั้งสองฝ่ายต่างกำลังรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น”
<i>โรเบิร์ต ไลต์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ พูดกับ รองนายกรัฐมนตรีหลิว เหอ ของจีน ระหว่างเข้าพบประธานาธิบดีโดนัดล์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ที่ห้องทำงานรูปไข่ ของทำเนียบขาว  ในวันศุกร์ (11 ต.ค.) </i>
ราคาหุ้นในวอลล์สตรีทไต่สูงขึ้นอย่างสำคัญตลอดทั้งวันศุกร์ โดยเหตุผลหลักคือความคาดหมายว่าจะมีการทำข้อตกลงทางการค้าที่เป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาได้ ทว่าทันทีที่ทำเนียบขาวแถลงให้ทราบถึงรูปร่างของข้อตกลงคร่าวๆ คราวนี้ ตลาดก็หล่นลงมาบ้าง โดยที่ดัชนีหุ้นอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ซึ่งช่วงขึ้นสูงสุดในวันนั้นบวกเพิ่มมากว่า 500 จุด ในตอนปิดเหลือบวกอยู่ 319 จุด

“นี่เป็น (ข้อตกลง) เฟสแรกที่ส่งเสริมให้กำลังใจ” เคร็ก แอลเลน ประธานของสภาธุรกิจสหรัฐฯ-จีน มองในแง่ดี แต่ก็ไม่วายพูดเชิงคาดคั้นว่า “เรายังคงเฝ้ารอรายละเอียดในเรื่องเกี่ยวกับวิธีการที่จะตรวจวัดว่ามีการดำเนินการตามข้อตกลงแค่ไหน และในกรอบเวลาอย่างไร ตลอดจนรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับกำหนดการต่างๆ ของฟสต่อๆ ไปที่จะติดตามมา”

ในการหารือรอบนี้ คณะผู้เจรจาของสหรัฐฯกับจีน ยังไม่ได้มีการตกลงกันในข้อพิพาทสำคัญอีกประการหนึ่ง นั่นคือเรื่องของบริษัทหัวเว่ย ยักษ์ใหญ่เทเลคอมสัญชาติจีน สหรัฐฯนั้นได้ใช้มาตรการแซงก์ชั่นเล่นงานหัวเว่ยหลายๆ ด้าน โดยกล่าวหาว่าบริษัทแห่งนี้ทำท่าเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของอเมริกา ขณะที่ทรัมป์เคยพูดว่าเขามีความปรารถนาที่จะใช้หัวเว่ยเป็นแต้มต่อรองอย่างหนึ่งในการเจรจาการค้ากับปักกิ่ง

ไม่เพียงเท่านั้น เวลานี้คณะบริหารทรัมป์ยังคงมาตรการขึ้นภาษีศุลกากรจากสินค้าจีนคิดเป็นมูลค่ากว่า 360,000 ล้านดอลลาร์เอาไว้ สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปหลังจากผลเจรจาในวันศุกร์ก็คือ ทรัมป์ได้ระงับแผนการที่จะขึ้นภาษีศุลกากรเพิ่มอีกจากสินค้าจีน 250,000 ล้านดอลลาร์ของจำนวนกว่า 360,000 ล้านดอลลาร์เหล่านี้ โดยจะขึ้นจากอัตรา 25% เป็น 30% ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม

สำหรับทางปักกิ่งนั้นก็ได้ตอบโต้แก้เผ็ดด้วยการขึ้นภาษีเอากับสินค้าสหรัฐฯคิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 120,000 ล้านดอลลาร์ โดยเน้นหนักที่พวกถั่วเหลืองและสินค้าเกษตรอื่นๆ ซึ่งส่งผลกระทบต่อพวกผู้สนับสนุนทรัมป์ในพื้นที่ชนบทของอเมริกา

เมื่อปีที่แล้ว สินค้าเกษตรสหรัฐฯส่งออกไปยังจีนได้ลดลงฮวบฮาบถึง 53% มาอยู่ในระดับมีมูลค่าไม่ถึง 9,200 ล้านดอลลาร์ จากการที่จีนตกลงซื้อมากขึ้นอย่างที่สัญญาไว้ในวันศุกร์ จะเป็นการให้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจแก่พวกเกษตรกรอเมริกันที่ได้รับความกระทบกระเทือนหนัก รัฐมนตรีมนูชินระบุว่า ยอดขายสินค้าเกษตรจำนวน 40,000 – 50,000 ล้านดอลลาร์ที่ทรัมป์อ้างอิงพูดถึงนั้น เป็นตัวเลขรายปี ซึ่งจะเพิ่มสูงขึ้นไปอีก “ภายในปีที่ 2” ของการทำความตกลงกัน

ก่อนหน้านี้ ทั้งสองฝ่ายเคยทำท่าเกือบจะบรรลุข้อตกลงที่มีเนื้อหาครบคลุมมากกว่าคราวนี้อีกเมื่อตอนต้นเดือนพฤษภาคม แต่การพูดคุยได้ชะงักลงหลังจากคณะบริหารทรัมป์กล่าวหาว่าจีนตระบัดสัตย์ไม่รักษาคำมั่นที่ให้เอาไว้ในช่วงก่อนหน้านั้น ในวันศุกร์ (11) ทรัปม์ยอมรับว่าดีลคราวล่าสุดนี้ยังไม่ได้จัดทำลงนามกันเป็นเอกสาร แต่เขาบอกว่านี่จะไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด

“จีนต้องการมันอย่างเหลือเกิน และเราก็ต้องการเช่นเดียวกัน” ประธานาธิบดีสหรัฐฯกล่าว “เราควรที่จะสามารถทำให้มันเสร็จเรียบร้อยได้ภายใน 4 อาทิตย์ข้างหน้า”

ไมรอน บริลเลียนต์ รองประธานบริหารของหอการค้าสหรัฐฯ บอกว่ามองเห็นความหวังได้รับกำลังใจจากพัฒนาการที่เกิดขึ้นเมื่อวันศุกร์

“ในท้ายที่สุดแล้ว ก็มีแสงแห่งความหวังสำหรับความสัมพันธ์ทางการค้าสหรัฐฯ-จีน” เขากล่าว และบอกว่า ถึงแม้ยังคงเหลืองานสำคัญที่จะต้องทำเพื่อคลี่คลายแก้ไขเรื่องซึ่งถือเป็นความสำคัญลำดับต้นๆ ในด้านการค้าและการลงทุนของสหรัฐฯ แต่ทางหอการค้าก็พร้อมจะให้ความสนับสนุนอย่างเต็มที่

กระนั้น เกรกอรี เดโค นักเศรษฐศาสตร์แห่ง ออกซ์ฟอร์ด อีโคโนมิกส์ เสนอแนะว่า การที่ข้อตกลงครั้งนี้มีลักษณะเป็นเพียงดีลในบางส่วน จึงยังไม่สามารถลดทอนความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าลงไปได้มากนัก โดยที่ความไม่แน่นอนนี้เองเป็นปัจจัยบั่นทอนไม่ให้บริษัทอเมริกันจำนวนมากลงทุนในเครื่องจักรอุปกรณ์ใหม่ๆ และในการขยายงานใหม่ๆ

“สำหรับธุรกิจต่างๆ แล้ว นี่หมายความว่าจะเกิดความเสียหายลดน้อยลง ไม่ใช่มีความแน่นอนเพิ่มขึ้นมาอย่างมากมาย ...

“เบื้องหลังของคำมั่นสัญญาและคำพูดหวานหู ดีลนี้ยังคงไม่ได้แก้ไขคลี่คลายประเด็นปัญหาหลักๆ ที่อยู่ลึกลงไป” เดโค ระบุในบันทึกที่ส่งถึงพวกลูกค้า

(เก็บความจากเรื่อง US-China issues of dispute remain vast despite trade truce ของสำนักข่าวเอพี)
กำลังโหลดความคิดเห็น