รอยเตอร์ - ทำเนียบขาวระบุวานนี้ (8 ต.ค.) ว่ากระบวนการไต่สวนเพื่อถอดถอนประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ โดย ส.ส.เดโมแครตในสภาผู้แทนราษฎรนั้นไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ (constitutionally invalid) พร้อมปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือ เว้นเสียแต่จะมีมติจากสภาผู้แทนราษฎรแบบเต็มคณะ
กระบวนการไต่สวนเริ่มต้นมาจากข้อร้องเรียนของ ‘ผู้เปิดโปง’ (whistleblower) รายหนึ่งที่ออกมาแฉว่า ทรัมป์ ไปกดดันให้ประธานาธิบดียูเครนตรวจสอบ โจ ไบเดน ผู้สมัครประธานาธิบดีคู่แข่งจากพรรคเดโมแครต
แพต ซิโพลโลนี ที่ปรึกษาทำเนียบขาว ได้ยื่นจดหมายความยาว 8 หน้ากระดาษไปยัง แนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎร รวมถึงประธานคณะกรรมาธิการข่าวกรอง, คณะกรรมาธิการฝ่ายวิเทศสัมพันธ์ และคณะกรรมาธิการตรวจสอบจริยธรรมของสภาล่าง โดยอ้างว่ากระบวนการอิมพีชเมนต์ 3 ครั้งก่อนหน้าที่เกิดขึ้นกับประธานาธิบดี แอนดรูว์ จอห์นสัน, ประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสัน และประธานาธิบดี บิล คลินตัน ล้วนผ่านการลงมติจากสภาผู้แทนราษฎรทั้งสิ้น และควรจะถูกใช้เป็นบรรทัดฐานสำหรับกรณีของ ทรัมป์ ด้วย
ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาล ทรัมป์ คนหนึ่งให้สัมภาษณ์ว่า “การเดินหน้าไต่สวนทั้งๆ ที่ไม่มีมติจากสภาผู้แทนราษฎรเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของชาติเรา การไต่สวนเพื่อถอดถอนประธานาธิบดี 3 ครั้งก่อนหน้าล้วนแต่เป็นมติจากสภาผู้แทนฯ”
จดหมายของทำเนียบขาวระบุด้วยว่า ทรัมป์ ถูกปฏิเสธสิทธิขั้นพื้นฐานในทางนิติกระบวน เช่น การซักถามพยานฝ่ายตรงข้าม, เรียกพยานเข้าให้ปากคำ, รับบันทึกคำให้การ และเข้าถึงพยานหลักฐานต่างๆ
“สิ่งเหล่านี้ถือเป็นการละเมิดรัฐธรรมนูญ หลักนิติธรรม และแบบอย่างที่มีมาในอดีต”
จดหมายฉบับนี้เป็นความพยายามของทีมทนายทำเนียบขาวในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเพื่อที่จะดิสเครดิตและเตะสกัดกระบวนการถอดถอน ทรัมป์
เพโลซี แย้งว่าการไต่สวนเพื่อถอดถอน ทรัมป์ นั้นกระทำอย่างถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ และไม่จำเป็นต้องให้สภาผู้แทนราษฎรลงมติในขั้นตอนนี้ ล่าสุดเธอยังประกาศกร้าวในวันอังคาร (8) ว่า ทรัมป์ จะต้องยอมรับผิดจากการกระทำที่มิชอบของตน
“ทำเนียบขาวควรทราบไว้ด้วยว่า การพยายามปกปิดเรื่องที่ประธานาธิบดีใช้อำนาจที่ได้รับจากชาวอเมริกันไปในทางมิชอบ จะถือเป็นอีกหนึ่งหลักฐานของการขัดขวาง” เพโลซี ระบุ
“ท่านประธานาธิบดี คุณไม่ได้อยู่เหนือกฎหมาย คุณจะต้องรับผิดชอบ”
ส.ส.เดโมแครตพยายามปกปิดตัวตนของผู้เปิดโปงที่กล่าวหา ทรัมป์ ในประเด็นยูเครน ซึ่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลคนเดิมชี้ว่า “เป็นเรื่องไม่สมควรที่พวกคุณสามารถเข้าถึงพยานชั้นหนึ่ง (primary witness) ที่เป็นผู้กล่าวหาในการไต่สวนอิมพีชเมนต์ ในขณะที่ประธานาธิบดีไม่มีสิทธิ์รู้ว่าผู้กล่าวหาเป็นใคร และไม่สามารถซักค้านเขาได้”
ทรัมป์ ประณามการไต่สวนครั้งนี้ว่าเป็น “แผนล่าแม่มด” และยอมเผยแพร่สคริปต์บทสนทนาฉบับย่อระหว่างตนกับประธานาธิบดี โวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครนเมื่อวันที่ 25 ก.ค. เพื่อกลบกระแสวิจารณ์
จดหมายของทำเนียบขาวยังอ้างอีกด้วยว่า ส.ส.เดโมแครตคิดจะใช้กระบวนการถอดถอนมาล้มผลเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อปี 2016 และจงใจให้เกิดผลต่อศึกเลือกตั้งผู้นำทำเนียบขาวในปี 2020
“การตัดสินใจเลือกใครเป็นประธานาธิบดีในปี 2020 ควรเป็นสิทธิ์ของพลเมืองสหรัฐฯ ดังที่รัฐธรรมนูญได้ระบุไว้ชัดเจน”