xs
xsm
sm
md
lg

สหรัฐฯ ขึ้นบัญชีดำหน่วยงาน-บริษัทจีน 28 แห่ง ตอบโต้กดขี่ ‘มุสลิม’ ในซินเจียง

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


รอยเตอร์ - กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ประกาศขึ้นบัญชีดำหน่วยงานด้านความมั่นคงสาธารณะและบริษัทจีนรวม 28 แห่ง รวมถึงผู้ผลิตกล้องวงจรปิดชั้นนำ Hikvision เพื่อตอบโต้ที่จีนใช้วิธีเลือกปฏิบัติกับชาวมุสลิมอุยกูร์ รวมถึงชนกลุ่มน้อยมุสลิมอื่นๆ ในประเทศ

องค์กรที่ถูกเพิ่มชื่อลงในบัญชีดำ ‘Entity List’ ของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เมื่อวานนี้ (7 ต.ค.) ประกอบด้วยสำนักงานความมั่นคงสาธารณะแห่งรัฐบาลประชาชนประจำเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์, หน่วยงานในสังกัดของรัฐ 19 แห่ง และบริษัทเชิงพาณิชย์อีก 8 แห่ง

ในส่วนของบริษัทนั้นยังรวมถึงผู้นำด้านปัญญาประดิษฐ์ของจีนอย่าง SenseTime Group Ltd และ Megvii Technology Ltd ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากอาลีบาบา, HikVision, Zhejiang Dahua Technology, IFLYTEK Co, Xiamen Meiya Pico Information Co และ Yixin Science and Technology Co.

Megvii ได้เปิดขายหุ้น IPO ในตลาดหุ้นฮ่องกงเพื่อระดมทุนไม่ต่ำกว่า 500 ล้านดอลลาร์เมื่อช่วงฤดูร้อนปีนี้ ขณะที่ SenseTime ซึ่งเป็นกลุ่มสตาร์ทอัพอัจฉริยะของจีนก็ระดมทุนครั้งที่สองได้ถึง 620 ล้านดอลลาร์ภายในระยะเวลา 2 เดือนเมื่อปีที่ผ่านมา ขึ้นแท่นบริษัทด้านปัญญาประดิษฐ์ที่มีมูลค่าสูงที่สุดรายหนึ่งของโลก

แม้เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ จะอ้างว่าการขึ้นบัญชีดำไม่เกี่ยวข้องกับแผนเจรจาการค้ากับจีนในสัปดาห์นี้ แต่ก็เป็นสัญญาณบ่งบอกจุดยืนแข็งกร้าวของวอชิงตันในการต่อรองกับปักกิ่ง เพื่อยุติสงครามการค้าที่ยื้อกันมานานถึง 15 เดือน

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ระบุว่า องค์กรที่ถูกขึ้นบัญชีดำเหล่านี้ “มีส่วนพัวพันกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยใช้นโยบายกดขี่, กักขังหน่วงเหนี่ยวตามอำเภอใจ และใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อสอดแนมชาวอุยกูร์, คาซัค และชนกลุ่มน้อยมุสลิมอื่นๆ”

“รัฐบาลสหรัฐฯ และกระทรวงพาณิชย์ไม่สามารถและจะไม่อดทนกับการกดขี่ข่มเหงชาติพันธุ์กลุ่มน้อยในจีน” วิลเบอร์ รอสส์ รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ระบุในถ้อยแถลง

ทั้งนี้ การถูกเพิ่มชื่อลงใน Entity List จะทำให้บริษัทหรือองค์กรเหล่านี้ไม่สามารถซื้อชิ้นส่วนและอุปกรณ์ต่างๆ จากผู้ผลิตอเมริกันได้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตเป็นกรณีพิเศษจากรัฐบาลสหรัฐฯ

ก่อนหน้านี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ก็ได้สั่งขึ้นบัญชีดำ หัวเว่ย เทคโนโลยีส์ และบริษัทในเครือกว่า 100 แห่ง ซึ่งส่งผลกระทบไม่น้อยต่อซัพพลายเออร์ในอเมริกาที่พึ่งพารายได้จากการขายชิ้นส่วนให้บริษัทโทรคมนาคมรายใหญ่ที่สุดของโลก ขณะที่หัวเว่ยเองก็จำหน่ายผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ๆ ได้ยากขึ้น

สำหรับ Hikvision นั้นมีมูลค่าตลาดราว 42,000 ล้านดอลลาร์ และประกาศตัวเป็นผู้ผลิตกล้องวงจรปิดรายใหญ่ที่สุดของโลก โดยมีรายงานจากรอยเตอร์เมื่อเดือน ส.ค. ว่ารายได้ 30% จากทั้งหมด 50,000 ล้านหยวนของบริษัทแห่งนี้มาจากยอดจำหน่ายในต่างประเทศ

โฆษก Hikvision ในสหรัฐฯ แถลงเมื่อค่ำวานนี้ (7) ว่า บริษัท “ขอคัดค้านการตัดสินใจของรัฐบาลสหรัฐฯ อย่างรุนแรง” และย้ำว่าได้มีการเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนและอดีตทูตสหรัฐฯ มาขอคำปรึกษาเกี่ยวกับแนวปฏิบัติด้านสิทธิมนุษยชนของบริษัทเมื่อเดือน ม.ค.

“การลงโทษ Hikvision ทั้งที่เราให้ความร่วมมือเช่นนี้จะยิ่งทำให้บริษัทต่างชาติไม่อยากติดต่อกับรัฐบาลสหรัฐฯ ทั้งยังทำให้หุ้นส่วนของ Hikvision ในอเมริกาได้รับผลกระทบ และส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ เอง” บริษัทระบุ

รัฐบาลตะวันตกและองค์กรสิทธิมนุษยชนต่างรุมประณามจีน หลังผู้เชี่ยวชาญยูเอ็นออกมาเผยว่าจีนมีการสร้าง ‘ค่ายลับ’ เอาไว้หลายแห่งเพื่อกักกันชาวอุยกูร์และมุสลิมกลุ่มอื่นๆ กว่า 1 ล้านคน

จอห์น โฮโนวิช ผู้ก่อตั้งบริษัท IPVM ซึ่งให้บริการข้อมูลเกี่ยวกับกล้องวงจรปิด ระบุว่า Hikvision และ Dahua มีการใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตโดย อินเทล คอร์ป, เอ็นวิเดีย คอร์ป, อัมบาเรลลา อิงค์, เวสเทิร์น ดิจิทัล และซีเกต เทคโนโลยี ซึ่งการถูกสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีดำอาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อบริษัทจีนทั้ง 2 แห่ง ขณะที่หุ้นของอัมบาเรลลาดิ่งฮวบทันที 12% หลังข่าวแพร่ออกมาเพียงไม่กี่ชั่วโมง

เมื่อเดือน ส.ค. รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ออกกฎชั่วคราวห้ามหน่วยงานของรัฐบาลกลางจัดซื้ออุปกรณ์โทรคมนาคมและบริการต่างๆ จากผู้ผลิตจีน 5 ราย รวมถึงหัวเว่ยและ Hikvision โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคง

หัวเว่ย ยืนกรานปฏิเสธว่าไม่ได้ถูกควบคุมโดยรัฐบาล กองทัพ หรือหน่วยข่าวกรองจีน และได้ยื่นฟ้องศาลเพื่อคัดค้านมาตรการกีดกันของสหรัฐฯ
กำลังโหลดความคิดเห็น