เอเจนซีส์ - สหรัฐฯกับสหภาพยุโรปทำท่าเปิดแนวรบใหม่อีกแนวรบหนึ่งของสงครามการค้าโลก โดยวอชิงตันตัดสินใจแทบทันทีที่จะขึ้นภาษีจากสินค้าส่งออกของยุโรปรวมมูลค่า 7,500 ล้านดอลลาร์เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 18 เดือนนี้ ภายหลังได้ไฟเขียวจากองค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) สืบเนื่องจากกรณีบรัสเซลส์อุดหนุน “แอร์บัส” อย่างผิดกฎหมาย ทางด้านอียูรีบส่งเสียงเตือนว่าจะตอบโต้เอาคืน โดยที่ฝ่ายนี้ดูจะได้โอกาสเหมาะๆ เพราะกำลังลุ้นดับเบิลยูทีโอชี้ขาด กรณีวอชิงตันก็ช่วยเหลือ “โบอิ้ง” อย่างไม่ถูกต้อง
คำตัดสินเปิดไฟเขียวให้สหรัฐฯขององค์การการค้าโลกเมื่อวันพุธ (2 ต.ค.) ถือว่าเป็นการให้สิทธิเรียกเก็บภาษีเพื่อชดเชยการได้รับการปฏิบัติทางการค้าอย่างไม่ชอบธรรม ซึ่งมีมูลค่าสูงสุดในประวัติศาสตร์ดับเบิลยูทีโอทีเดียว ขณะเดียวกันก็เป็นหลักหมายใหม่ในศึกแอร์บัส-โบอิ้งที่ยืดเยื้อมากว่าสิบปี
อีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา อเมริกาก็ประกาศรายชื่อสินค้าจากยุโรปซึ่งจะถูกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่ม ประกอบด้วยเครื่องบินที่ผลิตโดยแอร์บัสที่จะถูกขึ้นภาษี 10% ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีสินค้าของอียูอื่นๆ ที่จะถูกขึ้นภาษีศุลกากรในอัตรา 25% เป็นต้นว่าไวน์ฝรั่งเศส วิสกี้สก็อตแลนด์และไอร์แลนด์ และชีสจากทั่วอียู รวมถึงผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมต่างๆ โดยเฉพาะจาก 4 ประเทศที่สนับสนุนโบอิ้ง ได้แก่ ฝรั่งเศส เยอรมนี สเปน และอังกฤษ
มาตรการนี้มีผลตั้งแต่วันที่ 18 เดือนนี้ หรือ 3 วันภายหลังจากกำหนดที่อเมริกาจะเริ่มเก็บภาษีสินค้าจีนล็อตใหม่มูลค่า 250,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มจาก 25% เป็น 30%
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกมาอวดอ้างความดีความชอบทันที ทั้งที่กรณีนี้เริ่มร้องเรียนกันมาตั้งแต่เมื่อ 15 ปีก่อน
ขณะที่ โรเบิร์ต ไลต์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ คาดหวังว่า จะเริ่มการเจรจากับบรัสเซลส์โดยเร็วเพื่อหาทางคลี่คลายข้อพิพาทนี้ เพื่อให้เกิดนประโยชน์แก่แรงงานอเมริกัน
ไลต์ไฮเซอร์สำทับว่า แม้คำตัดสินของดับเบิลยูทีโออนุญาตให้อเมริกาลงโทษอียูได้ด้วยการขึ้นภาษีในอัตราสูงถึง 100% แต่ขณะนี้อเมริกาจะจำกัดการขึ้นภาษีไว้เพียงเท่าที่ประกาศออกมา และสงวนสิทธิ์ในการขึ้นภาษีเพิ่มหรือเปลี่ยนแปลงรายชื่อผลิตภัณฑ์ที่จะถูกตอบโต้ได้ทุกเมื่อ
ทางด้านบรัสเซลส์แถลงในวันพุธว่า อียูยังคงพร้อมหามาตรการไกล่เกลี่ยที่เป็นธรรม และได้ส่งข้อเสนออย่างเป็นรูปธรรมสำหรับกลไกการอุดหนุนอุตสาหกรรมการบินใหม่ให้อเมริกาไปแล้ว ทว่า ยังไม่ได้รับการตอบกลับ
ทางด้านเจ้าหน้าที่การค้าสหรัฐฯ โต้ว่า ไม่เคยได้รับข้อเสนออย่างจริงจังจากบรัสเซลส์จนกระทั่งเมื่อไม่กี่สัปดาห์นี้ที่มีแนวโน้มว่า ดับเบิลยูทีโอกำลังจะประกาศคำตัดสิน
ในวันพฤหัสบดี (3) ดานิเอล โรซาริโอ โฆษกของคณะกรรมาธิการยุโรป ที่เป็นองค์กรบริหารของอียู แถลงว่า “ถ้าหากสหรัฐฯบังคับใช้มาตรการตอบโต้ (ตามที่ได้รับไฟเขียวจากดับเบิลยูทีโอ) ก็จะเป็นการผลักดันให้อียูเข้าสู่สถานการณ์ที่เราจะต้องกระทำอย่างเดียวกัน”
“นี่เป็นความเคลื่อนไหวที่บรรดาผู้บริโภคของสหรัฐฯและบริษัทต่างๆ ของสหรัฐฯจะเป็นผู้ได้รับความกระทบกระเทือนก่อนใครเพื่อน และจะทำให้ความพยายามในการทำความตกลงกันโดยผ่านการเจรจายิ่งมีความยุ่งยากซับซ้อนมากขึ้นอีก”
กระนั้น เนื่องจากยังมีเวลาอีกสองสามสัปดาห์ กว่าที่การขึ้นภาษีของสหรัฐฯจะมีผลบังคับ โรซาริโอจึงย้ำว่าอียูยังคงเปิดกว้างสำหรับการพูดจากัน
ปัจจุบัน อเมริกาและอียูมีข้อพิพาททางการค้ากันหลายเรื่องอยู่แล้ว ทั้งจากกรณีที่วอชิงตันขึ้นภาษีศุลกากรเหล็กกล้าและอลูมิเนียมจากอียู รวมทั้งขู่รีดภาษีรถยนต์ยุโรป ขณะที่บรัสเซลส์ก็ขู่กลับว่า จะตอบโต้อย่างสมน้ำสมเนื้อ
กรณีพิพาทแอร์บัสนั้นเริ่มต้นขึ้นในปี 2004 เมื่อวอชิงตันร้องเรียนต่อดับเบิลยูทีโอว่า แอร์บัส ซึ่งเป็นคู่แข่งโดยตรงกับโบอิ้งของอเมริกา ได้รับการอุดหนุนอย่างไม่เป็นธรรมจากอียู จากนั้นก็มีการโต้แย้งและการอุทธรณ์อย่างยาวนาน
ทว่าคำตัดสินเมื่อวันพุธ ซึ่งอยู่ในขั้นตอนที่ไม่สามารถอุทธรณ์ได้อีกต่อไป ก็ถือเป็นครั้งแรกที่อเมริกาได้รับอนุญาตภายใต้กฎการค้าระหว่างประเทศให้ออกมาตรการตอบโต้เอากับสินค้าอียู
อย่างไรก็ตาม ในเร็วๆ นี้บรัสเซลส์จะมีโอกาสเอาคืน จากกรณีการร้องเรียนอีกกรณีหนึ่งที่เริ่มต้นในปี 2005 โดยยุโรปกล่าวหาโบอิ้งได้รับเงินอุดหนุนต้องห้ามมูลค่า 19,100 ล้านดอลลาร์ระหว่างปี 1989-2006 จากหน่วยงานต่างๆ ของรัฐบาลสหรัฐฯ เวลานี้ดับเบิลยูทีโอพบว่า ข้อร้องเรียนมีมูล และคาดว่า จะประกาศมูลค่ามาตรการตอบโต้ที่อียูจะดำเนินการกับสินค้าอเมริกันได้ในช่วงต้นปีหน้า
นอกจากนั้นยังมีรายงานว่า เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา อียูเสนอสงบศึกกับอเมริกาโดยการที่ต่างฝ่ายต่างยอมรับผิดและหาวิธีลดการอุดหนุนอุตสาหกรรมการบินของตนเอง ทั้งนี้ ในอดีตที่ผ่านมาอียูและอเมริกาเคยตกลงรอมชอมกันแบบนี้มาแล้ว