รอยเตอร์ - รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการเพิกถอนการจดทะเบียนของบริษัทต่างๆของจีนในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ แหล่งข่าวใกล้ชิดกับประเด็นนี้เปิดเผยในวันศุกร์ (27 ก.ย.) ความเคลื่อนไหวที่อาจทำให้สถานการณ์ที่ลุกลามบานปลายในความตึงเครียดทางการค้าระหว่างวอชิงตันกับปักกิ่งเลวร้ายลงไปอีก
แหล่งข่าวระบุว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามอย่างกว้างขวางในการจำกัดการลงทุนของสหรัฐฯ ในจีน และเป็นการยืนยันรายงานข่าวก่อนหน้านี้ของบลูมเบิร์ก ซึ่งก่อคลื่นความช็อคแผ่ลามไปทั่วตลาดการเงิน
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการวางกลไกที่แน่ชัดในแนวทางการปลดบริษัทจีนออกจากการจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหัฐฯ และแผนใดๆ จำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เสียก่อน แม้ว่าผู้นำรายนี้เป็นคนไฟเขียวให้มีการพูดคุยหารือกันในประเด็นดังกล่าวก็ตาม
ทั้งนี้ในรายงานบลูมเบิร์ก อ้างแหล่งข่าวระบุว่า เจ้าหน้าที่ในทำเนียบขาวกำลังพิจารณาเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการจำกัดการลงทุนของสหรัฐฯในจีน ในนั้นรวมถึงการจำกัดพอร์ทการลงทุนของนักลงทุนสหรัฐฯในจีน ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะสร้างความตื่นตระหนกในตลาดการเงิน และส่งผลกระทบต่อการลงทุนวงเงินหลายพันล้านดอลลาร์ที่เกี่ยวข้องกับดัชนีหุ้น
บลูมเบิร์กยังรายงานด้วยว่า อีกแนวทางหนึ่งในการจำกัดการลงทุนของสหรัฐฯในจีน ก็คือการปลดบริษัทจีนออกจากการจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ และจำกัดการลงทุนของกองทุนบำนาญของรัฐบาลสหรัฐฯ ในตลาดจีน
ข่าวคราวดังกล่าวมีออกมาในขณะที่การเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนมีกำหนดเปิดหารือกันอีกครั้งในวันที่ 10 ตุลาคมในวอชิงตัน
รายงานข่าวของบลูมเบิร์กยังอ้างแหล่งข่าว 3 คนบอกด้วยว่าพวกเจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบแนวทางที่สหรัฐฯจะจำกัดบริษัทต่างๆของจีนในความเกี่ยวข้องกับดัชนีหุ้นต่างๆ ที่บริหารโดยบริษัทสหรัฐฯ แม้ยังไม่ชัดเจนว่าจะดำเนินการด้วยวิธีการใด
เมื่อเดือนมิถุนายน กลุ่มส.ส.จาก 2 พรรคการเมืองหลักของสหรัฐฯ ได้นำเสนอร่างกฎหมายฉบับหนึ่งซึ่งบังคับใช้บริษัทต่างๆ ของจีนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เปิดเผยข้อมูลแก่ผู้ควบคุมดูแลกฎระเบียบ ในนั้นรวมถึงยอมให้เข้าถึงการตรวจสอบบัญชี ไม่อย่างนั้นก็มีสิทธิ์ถูกปลดพ้นตลาดหลักทรัพย์
พวกเจ้าหน้าที่จีนแสดงท่าทีอึกอักมาช้านานต่อการเปิดทางให้คณะผู้ตรวจสอบต่างแดนเข้าถึงบัญชีของบริษัทท้องถิ่น ในนั้นรวมถึงบริษัทต่างๆ ที่เป็นสมาชิกของเครือข่ายตรวจสอบบัญชีระหว่างประเทศระดับบิ๊ก 4 ของโลก โดยอ้างความกังวลด้านความมั่นคงแห่งชาติ
จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ มีบริษัทจีน 456 แห่งที่จดทะเบียนในแนสแดคและตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก ในนั้นรวมถึงรัฐวิสาหกิจอย่างน้อย 11 แห่ง
“มันจะก่อความยุ่งเหยิงไปทั่ว มันรังแต่จะซ้ำเติมความไม่แน่นอน และก่อผลกระทบทางลบใหญ่หลวงแก่การลงทุนภาคธุรกิจ” สกอตต์ บราวน์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากสถาบันการเงินการลงทุน เจย์มอร์ด เจมส์ กล่าว อย่างไรก็ตาม เขาตั้งข้อสังเกตว่าที่ผ่านมาทั้งสองฝ่ายมักใช้ความเคลื่อนไหวที่ก้าวร้าวงัดข้อกัน ก่อนการเจรจาทุกครั้ง “คุณไม่มีทางรู้หรอกว่า มันเป็นอุบายคัดคานกันเพื่อบรรลุผลประโยชน์บางอย่าง ก่อนการเจรจาหรือไม่”
ก่อนหน้านี้เมื่อวันอังคาร (24 ก.ย.) ทรัมป์ กล่าวสุนทรพจน์ต่อที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ประณามพฤติกรรมการค้าของจีนเป็นชุดๆ แต่จากนั้นหนึ่งวันต่อมา เขาโหมกระพือความหวังว่าเหตุเผชิญหน้าทางการค้าที่ยืดเยื้อมานานเกือบ 15 เดือน อาจใกล้ถึงจุดสิ้นสุดแล้ว