เอเจนซีส์ - ทรัมป์ปากเก่ง ชี้ความพยายามในการถอดถอนตนออกจากตำแหน่งเป็นแค่เรื่อง “ขำๆ” ขณะที่พรรคเดโมแครตยืนกรานกล่าวหาประมุขทำเนียบขาวข่มขู่ประธานาธิบดียูเครนแบบ “มาเฟีย” ด้านสมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯหลายคน แม้แต่พลพรรครีพับลิกันถึงขั้นออกปากว่า “น่าวิตกมาก” หลังได้อ่านบันทึกการสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างผู้นำสองชาติ และเป็นที่มาของการเปิดฉากสอบสวนทรัมป์ครั้งใหม่
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ยืนกรานปฏิเสธในวันพุธ (25 ก.ย.) ว่า ไม่ได้ลุแก่อำนาจด้วยการกดดันให้ประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกีของยูเครน เปิดการสอบสวนโจ ไบเดน ที่กำลังรณรงค์หาเสียง และมีคะแนนนำกลายเป็นตัวเก็งที่จะได้เป็นตัวแทนพรรคเดโมแครต สู้ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีปลายปีหน้า
ทรัมป์โอ่ในระหว่างการแถลงข่าวครั้งแรกหลังประธานสภาผู้แทนราษฎร แนนซี เพโลซี ของพรรคเดโมแครต ประกาศอย่างเป็นทางการในวันอังคาร (24) เปิดการสอบสวนเพื่อถอดถอนตนเอง โดยอกว่า เดโมแครตจะถูกโจมตีอย่างหนักจากการล่าแม่มดครั้งนี้ เพราะเมื่อได้เห็นข้อมูลจะรู้ว่า เป็นเรื่องตลกทั้งเพ
ผู้นำสหรัฐฯ ยืนยันว่า ไม่รู้สึกกดดันเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทางเซเลนสกีที่ปรากฏตัวเคียงข้างทรัมป์ระหว่างการประชุมทวิภาคีของผู้นำทั้งสอง ข้างเคียงเวทีสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ในนครนิวยอร์ก ก็กล่าวทำนองเดียวกันนี้เช่นกัน
กระนั้นก็ตาม บันทึกการสนทนาระหว่างผู้นำทั้งสองเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม ซึ่งทางทำเนียบขาวยอมนำออกมาเผยแพร่ในวันพุธ (25) ก็เรียกเสียงอื้ออึงทั่ววอชิงตัน ซึ่งรวมถึงภายในพรรครีพับลิกันของทรัมป์เอง เช่น วุฒิสมาชิกมิตต์ รอมนีย์ ที่ออกปากว่า “น่าเป็นห่วงมาก”
ทรัมป์และพวกผู้ช่วยของเขาอ้างว่า การพูดคุยกับเซเลนสกีทางโทรศัพท์เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม ไม่มีหลักฐานว่า ทรัมป์กดดันให้ผู้นำยูเครนตรวจสอบไบเดน เพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่สหรัฐฯจะให้ความช่วยเหลือที่ถูกระงับเอาไว้
แต่ อดัม ชิฟฟ์ ประธานคณะกรรมาธิการข่าวกรองสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคเดโมแครต โต้ว่า วิธีพูดของทรัมป์เป็นสไตล์เดียวกับการข่มขู่ของมาเฟีย
ทั้งนี้ ในบันทึกการสนทนาที่ทำเนียบขาวยอมเผยแพร่ต่อสมาชิกคณะกรรมาธิการข่าวกรองวุฒิสภาและสภาล่างในห้องประชุมแบบปิดลับของอาคารรัฐสภาเมื่อวันพุธ โดยที่เป็นการเขียนสรุปเอา ไม่ใช่เป็นการถอดเสียงพูดคำต่อคำ มีเนื้อหาบ่งบอกว่า ทรัมป์พูดกับเซเลนสกีว่า บิลล์ บาร์ รัฐมนตรียุติธรรมสหรัฐฯ และรูดี้ จูเลียนี ทนายความส่วนตัวของตน จะเป็นผู้คอยประสานงานเรื่องการสอบสวนไบเดน และฮันเตอร์ ลูกชายของอดีตรองประธานาธิบดีผู้นี้ ที่เคยเป็นเป็นสมาชิกคณะกรรมการบริหารของบริษัทแก๊สแห่งหนึ่งในยูเครน
ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพโลซี ระบุในตอนประกาศเริ่มขั้นตอนแรกของกระบวนการถอดถอนว่า การกระทำของทรัมป์เป็นการทรยศต่อคำสาบานตนเข้ารับตำแหน่งและความมั่นคงของชาติ เนื่องจากเข้าข่ายการชักชวนต่างชาติแทรกแซงการเมืองภายในประเทศ
ทรัมป์และจูเลียนี ดูมีความสนใจที่จะประโคมเรื่องที่ ไบเดนในขณะเป็นรองประธานาธิบดี เคยยื่นคำขาดให้รัฐสภายูเครนปลดอัยการสูงสุด วิกตอร์ โชคิน โดยระบุว่าเป็นความพยายามของไบเดนที่จะช่วยเหลือบริษัทแก๊สซึ่งลูกชายนั่งป็นกรรมการบริหารอยู่ ที่เวลานั้นถูกสอบคอร์รัปชั่น
ถึงแม้ เรื่องนี้ไบเดนและสื่อชี้ว่า ในตอนนั้น ไม่เพียงไบเดน หากผู้นำชาติตะวันตกอีกหลายคนก็กดดันให้ปลดโชคิน เนื่องจากล้มเหลวในการปราบปรามทุจริต
ในบันทึกการสนทนาเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม ทรัมป์พูดว่า “มีเสียงโจษจันเรื่องลูกชายไบเดน ว่ากันว่า ไบเดนสกัดการฟ้องร้อง และคนมากมายอยากรู้ความจริงเรื่องนี้ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าอะไรก็ตามที่คุณทำได้เกี่ยวกับอัยการสูงสุดผู้นี้จะเป็นสิ่งที่ดีมาก
“ไบเดนคุยไปทั่วเรื่องสกัดการฟ้องร้อง ถ้าคุณเข้าไปตรวจสอบได้.. เรื่องนี้ผมเห็นว่าเป็นเรื่องน่ารังเกีย” ทรัมป์บอกเซเลนสกีทางโทรศัพท์
บทสนทนาที่คัดลอกมานี้ไม่ได้บ่งชี้ว่า ทรัมป์พยายามนำเอาการให้ความช่วยเหลือยูเครนมาโยงกับการขอให้เซเลนสกีตรวจสอบไบเดนอย่างชัดเจน แต่ทั้งคู่ก็ได้พูดถึงแพคเกจความช่วยเหลือมูลค่าเกือบ 400 ล้านดอลลาร์ที่ทรัมป์สั่งระงับก่อนหน้านั้น และเพิ่งจะอนุญาตให้อัดฉีดแก่เคียฟหลังการพูดคุยไม่กี่สัปดาห์
บันทึกการสนทนายังเผยว่า หลังจากที่ผู้นำยูเครนบอกว่า อเมริกาดีต่อยูเครนอย่างมาก ทรัมป์ขอให้เซเลนสกี “ช่วย” ตรวจสอบบริษัทรักษาความมั่นคงทางไซเบอร์ที่สอบสวนกรณีการเจาะระบบคอมพิวเตอร์คณะกรรมการแห่งชาติของพรรคเดโมแครตในปี 2016 และระบุว่า เป็นฝีมือรัสเซีย อย่างไรก็ดี ดูเหมือนทรัมป์ให้ข้อมูลผิดว่า บริษัทดังกล่าวคือคราวด์สไตร๊ก์เป็นของยูเครน
นักวิเคราะห์ตั้งข้อสังเกตว่า บันทึกดังกล่าวมีเนื้อหาขาดหายไป 3 ช่วง ซึ่งล้วนเป็นตอนที่ทรัมป์กำลังร้องขอบางอย่างจากเซเลนสกี บ้างว่า การสนทนาน่าจะนาน 30 นาที แต่เนื้อความในบันทึกกินเวลาเพียง 12 นาที
ทรัมป์ ซึ่งอาจเป็นประธานาธิบดีคนที่ 3 ของสหรัฐฯ ที่ถูกถอดถอน พยายามตอบโต้อย่างกราดเกรี้ยวว่า การสอบสวนกรณีนี้เป็นการล่าแม่มดครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกัน
อย่างไรก็ตาม กรณีนี้ทำให้เพโลซีที่เคยคัดค้านสมาชิกฝ่ายซ้ายในพรรคที่ต้องการเดินเรื่องถอดถอนทรัมป์มานานหลายเดือนแล้ว โดยเห็นว่าควรต้องทุ่มเทความสนใจในศึกเลือกตั้งปีหน้ามากกว่า เปลี่ยนความคิดและประกาศเริ่มการตรวจสอบเพื่อวันอังคาร (24) หรือ 11 วันหลังมีข่าวว่า เจ้าหน้าที่ที่ไม่ประสงค์เปิดเผยตัวตนคนหนึ่งในแวดวงข่าวกรองของอเมริกา ได้ยื่นคำร้องเรียนอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับพฤติการณ์ของทรัมป์ในกรณียูเครน
พรรคเดโมแครตประกาศชัดเจนว่า การที่ทำเนียบขาวนำบันทึกการสนทนาระหว่างทรัมป์กับเซเลนสกีมาเปิดเผยยังไม่ถือว่า เพียงพอสำหรับการสอบสวนกรณีประธานาธิบดีละเมิดกฎหมาย และรัฐสภากำลังพิจารณาคำร้องเรียนของผู้เปิดโปงดังกล่าว
คริส สจ๊วร์ต สมาชิกคณะกรรมาธิการข่าวกรองสภาล่างจากพรรครีพับลิกัน ทวิตเมื่อคืนวันพุธว่า เอกสารการร้องเรียนถูกปลดออกจากสถานะเอกสารลับแล้ว และซีเอ็นเอ็นรายงานว่า อาจมีการนำออกเผยแพร่ต่อสาธารณชนอย่างเร็วที่สุดเช้าวันพฤหัสฯ (26) นอกจากนั้นยังมีข่าวว่า คองเกรสกำลังดำเนินการเพื่อเชิญผู้เปิดโปงผู้นี้ไปซักถามเป็นการภายใน
ชัค ชูเมอร์ วุฒิสมาชิกระดับสูงของพรรคเดโมแครต ให้สัมภาษณ์ภายหลังได้อ่านเอกสารคำร้องเรียนของผู้เปิดโปงนี้ โดยบอกว่า “น่ากังวลมาก” เช่นเดียวกับวุฒิสมาชิก เบน แซสส์ จากพรรครีพับลิกันที่บอกว่า มีหลายประเด็นมากที่น่าวิตก
นอกจากนั้นในวันพฤหัสฯ โจเซฟ แม็กไกวร์ รักษาการผู้อำนวยสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ ยังมีกำหนดไปให้การต่อคณะกรรมาธิการข่าวกรองสภาผู้แทนราษฎร จากกรณีที่เขาปฏิเสธที่จะนำเอกสารคำร้องเรียนดังกล่าวมาเผยแพร่ต่อสภา ทั้งที่ตามกฎหมายกำหนดให้ส่งรัฐสภาโดยเร็วในกรณีที่มีมูลและเป็นเรื่องเร่งด่วน