รอยเตอร์ - ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ และนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ แห่งญี่ปุ่น จรดปากกาลงนามข้อตกลงการค้าอย่างจำกัดเมื่อวันพุธ (25 ก.ย.) โดยเน้นไปที่การลดภาษีศุลกากรสินค้าเกษตรจากอเมริกา, เครื่องมือกลจากญี่ปุ่น รวมไปถึงผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ไม่ใช่ยานยนต์
ทรัมป์ ระบุว่า ข้อตกลงในเฟสแรกจะช่วยเปิดตลาดญี่ปุ่นให้มีการนำเข้าสินค้าอเมริกันสูงถึง 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี โดยรัฐบาลปลาดิบจะลดภาษีศุลกากรที่เรียกเก็บจากเนื้อวัว, เนื้อหมู, ข้าวสาลี และชีสจากอเมริกา
แม้สัญญาฉบับนี้จะยังไม่ครอบคลุมถึงอุตสาหกรรมยานยนต์ แต่นายกฯ อาเบะ เผยว่าตนได้รับคำยืนยันจาก ทรัมป์ ว่าสหรัฐฯ จะไม่นำบทลงโทษตามมาตรา 232 มาใช้กับรถยนต์นำเข้าญี่ปุ่น
“ผมกับประธานาธิบดี ทรัมป์ ได้รับปากกันแล้วว่า จะไม่มีการขึ้นภาษีเพิ่มเติมอีก” อาเบะ ระบุในงานแถลงข่าว “และหลังจากที่ข้อตกลงการค้าเริ่มมีผลบังคับใช้ ผมเชื่อว่าเราทั้งสองประเทศจะสามารถเติบโตและพัฒนาไปด้วยกัน”
โรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ระบุภายหลังพิธีลงนามข้อตกลงซึ่งจัดคู่ขนานไปกับการประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติว่า สหรัฐฯ และญี่ปุ่นจะกลับมาพูดคุยเรื่องภาษีรถยนต์ในการเจรจารอบถัดไป ซึ่งคาดว่าจะมีขึ้นในราวๆ เดือน เม.ย. ปีหน้า
อุตสาหกรรมรถยนต์ถือเป็นภาคส่วนสำคัญที่ทำให้สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าญี่ปุ่นสูงถึง 67,000 ล้านดอลลาร์ และ ทรัมป์ มักจะพูดเสมอว่ารถยนต์อเมริกันยังไม่สามารถเข้าถึงตลาดญี่ปุ่นได้อย่างเป็นธรรม
ไลท์ไฮเซอร์ ระบุว่า สหรัฐฯ ไม่ได้มีเจตนาที่จะรีดภาษีรถยนต์ญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น และยังต้องพิจารณาผลการศึกษาของกระทรวงพาณิชย์เสียก่อนว่า การนำเข้ารถยนต์ญี่ปุ่นส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติหรือไม่
โทชิมิตสึ โมเตงิ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่นซึ่งเป็นผู้เจรจาทำข้อตกลงร่วมกับ ไลท์ไฮเซอร์ ยืนยันว่าจะไม่มีการรีดภาษีเพิ่มเติม ตราบใดที่ข้อตกลงฉบับนี้ยังถูกบังคับใช้อย่างจริงจัง
รัฐบาลโตเกียวแถลงว่า การเจรจาครั้งถัดไปจะมุ่งเน้นให้สหรัฐฯ ยกเลิกภาษีรถยนต์ญี่ปุ่นซึ่งปัจจุบันถูกเรียกเก็บในอัตรา 2.5% และจะไม่นำไปสู่การกำหนดโควตานำเข้ารถยนต์ญี่ปุ่น
ไลท์ไฮเซอร์ เคยมีบทบาทสำคัญในการเจรจาให้ญี่ปุ่นลดส่งออกยานยนต์เข้ามายังสหรัฐฯ โดยสมัครใจเมื่อช่วงทศวรรษ 1980 ซึ่งทำให้ค่ายรถแดนปลาดิบหันมาตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ในอเมริกามากขึ้น ทว่าในปัจจุบันยังคงมีการนำเข้ารถยนต์จากญี่ปุ่นมากถึง 1.7 ล้านคันต่อปี หรือคิดเป็นราวๆ 10% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมดในสหรัฐอเมริกา
USTR ระบุว่า ข้อตกลงการค้าที่ ทรัมป์ และ อาเบะ ลงนามเมื่อวานนี้ (25) ถือเป็น “ความสำเร็จระยะเริ่มแรก” ของการเจรจาในเรื่องสินค้าเกษตร สินค้าอุตสาหกรรม และการค้าดิจิทัลระหว่างสหรัฐฯ กับญี่ปุ่น และน่าจะช่วยคลายความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกรอเมริกันซึ่งได้รับผลกระทบจากการที่จีนสั่งรีดภาษีถั่วเหลืองและเนื้อหมูนำเข้าจากสหรัฐฯ ในสงครามการค้าที่ยืดเยื้อมานานถึง 15 เดือน
ทรัมป์ เปิดเผยว่าญี่ปุ่นจะยอมเปิดตลาดนำเข้าสินค้าเกษตรสหรัฐฯ ราว 7,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี โดยสินค้าที่อยู่ในข่ายได้รับการยกเว้นหรือลดภาษี ได้แก่ เนื้อวัว เนื้อหมู ข้าวสาลี ชีส ข้าวโพด ไวน์ และอื่นๆ
ข้อตกลงในเฟสแรกนี้ยังครอบคลุมการค้าดิจิทัลระหว่างสหรัฐฯ กับญี่ปุ่น ซึ่งมีมูลค่าราว 40,000 ล้านดอลลาร์
ทรัมป์ ยังกล่าวชื่นชมรัฐบาลปักกิ่งที่รับซื้อสินค้าเกษตรอเมริกันเพิ่มขึ้น และเอ่ยเป็นนัยๆ ว่าข้อตกลงการค้ากับจีนอาจสำเร็จเร็วกว่าที่หลายคนคาดคิด