รอยเตอร์ - ส.ส.เดโมแครตซึ่งครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เริ่มการไต่สวนเพื่อนำไปสู่กระบวนการถอดถอนประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ออกจากตำแหน่งเมื่อวานนี้ (24 ก.ย.) โดยกล่าวหาประธานาธิบดีว่าใช้ต่างชาติเป็นเครื่องมือใส่ร้ายป้ายสี โจ ไบเดน คู่แข่งคนสำคัญในศึกเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในเดือน พ.ย. ปี 2020
การไต่สวนดังกล่าวคาดว่าจะเป็นชนวนการเปิดศึกครั้งใหญ่ระหว่างฝ่ายเดโมแครตและรีพับลิกัน ทั้งในสภาคองเกรสและระหว่างที่ ทรัมป์ ตระเวนหาเสียงในช่วงหลายเดือนข้างหน้า
แนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎร ประกาศเริ่มต้นกระบวนการไต่สวนภายหลังหารือแบบปิดลับกับ ส.ส.เดโมแครต โดยอ้างว่าพฤติกรรมของ ทรัมป์ เข้าข่ายทำลายความมั่นคงของชาติและยังเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญด้วย
“ประธานาธิบดีจะต้องรับผิดชอบ ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย” เพโลซี ซึ่งเคยลังเลที่จะผลักดันกระบวนการอิมพีชเมนต์มาตลอดหลายเดือน ระบุ
ด้านผู้นำสหรัฐฯ ออกมาทวีตข้อความตอบโต้ว่า การไต่สวนของสภาผู้แทนราษฎรเป็นเพียง “การล่าแม่มด”
เพโลซี เริ่มหันมาแสดงท่าทีแข็งกร้าว หลังมีกระแสข่าวว่า ทรัมป์ โทรศัพท์ไปกดดันประธานาธิบดี โวโลดีมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครนเมื่อวันที่ 25 ก.ค. ให้ตรวจสอบคดีทุจริตคอร์รัปชันที่โยงใยถึง โจ ไบเดน ผู้สมัครประธานาธิบดีตัวเก็งของพรรคเดโมแครต รวมถึง ฮันเตอร์ ไบเดน บุตรชายของ โจ ซึ่งเคยทำงานกับบริษัทก๊าซแห่งหนึ่งในยูเครน
ทรัมป์ ออกมารับปากวานนี้ (24) ว่าจะเปิดเผยสคริปต์บทสนทนาระหว่างตนกับเซเลนสกี และยอมรับว่ามีการเอ่ยถึง ไบเดน จริง แต่ไม่ได้สั่งระงับเงินช่วยเหลือ 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อบีบให้ เซเลนสกี เปิดการสอบสวนพ่อลูกไบเดน
เพโลซี ระบุว่า คณะกรรมการคองเกรสทั้ง 6 ชุดที่กำลังตรวจสอบ ทรัมป์ ในหลายๆ ประเด็นจะทำหน้าที่ต่อไปโดยมีการประสานงานกัน จากนั้นจึงจะมีการตัดสินใจว่าคณะกรรมการยุติธรรมแห่งสภาผู้แทนราษฎรสมควรร่างหนังสือถอดถอน ทรัมป์ หรือไม่
“การกระทำของประธานาธิบดี ทรัมป์ สะท้อนความจริงที่ว่าประธานาธิบดีทรยศต่อคำสาบานตน ทรยศต่อความมั่นคงของชาติ และทรยศต่อความซื่อสัตย์ของกระบวนการเลือกตั้ง” เพโลซี กล่าว
พันธมิตรของ ทรัมป์ ตำหนิ เพโลซี ว่ากำลัง “เล่นการเมือง” โดย มิตช์ แมคคอนเนลล์ แกนนำ ส.ว.รีพับลิกันเสียงข้างมาก ชี้ว่าพวก ส.ส. เดโมแครต “ด่วนตัดสินใจ” เกินไป และน่าจะรอให้มีการเผยแพร่บทสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่าง ทรัมป์ กับ เซเลนสกี เสียก่อน
“นี่คือสิ่งยืนยันว่า การช่วยชาวอเมริกันให้มีชีวิตที่ดีขึ้นไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับ ส.ส. เดโมแครต เพราะตลอดระยะเวลาเกือบ 3 ปีที่ผ่านมา พวกเขามุ่งแต่จะถอดถอนประธานาธิบดีเท่านั้น” แมคคอนเนลล์ แถลง
ทั้งนี้ การถอดถอน ทรัมป์ เรียกได้ว่าเป็นงานหินสำหรับพรรคเดโมแครต เพราะต่อให้สภาผู้แทนราษฎรโหวตสนับสนุนญัตติถอดถอน แต่ก็ยังต้องผ่านด่าน ส.ว. รีพับลิกันซึ่งครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา และการจะได้คะแนนโหวตจาก ส.ว. ถึง 2 ใน 3 ก็แทบเป็นไปไม่ได้
นี่จะเป็นครั้งแรกที่สภาคองเกรสเริ่มต้นกระบวนการอิมพีชเมนต์ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ถัดจากกรณีของ บิล คลินตัน ซึ่งถูกกล่าวหาว่าให้การเท็จและขัดขวางกระบวนการยุติธรรมในคดีที่เกี่ยวโยงกับความสัมพันธ์ลึกซึ้งระหว่างเขากับ โมนิกา ลูวินสกี นักศึกษาฝึกงานทำเนียบขาว เมื่อปี 1998
คลินตัน ถูกสภาผู้แทนราษฎรโหวตถอดถอนในเดือน ธ.ค. ปีนั้น ก่อนที่วุฒิสภาจะเพิกถอนมติของสภาล่างในอีก 2 เดือนต่อมา ซึ่งทำให้ คลินตัน ยังคงอยู่ในตำแหน่งได้ต่อไป
ก่อนหน้านั้น มติถอดถอนประธานาธิบดี แอนดรูว์ จอห์นสัน เมื่อปี 1868 ก็ถูกคว่ำโดยวุฒิสภาเช่นกัน
ผู้สมัครประธานาธิบดีสายเดโมแครตส่วนใหญ่ประกาศสนับสนุนกระบวนการถอดถอน ทรัมป์ ไม่ว่าจะเป็น เอลิซาเบธ วอร์เรน, เบอร์นี แซนเดอร์ส, คามาลา แฮร์ริส, คอรี บุกเกอร์ และ เอมี โคลบูชาร์ เป็นต้น ทว่าการแสดงจุดยืนเช่นนี้ก็มีความเสี่ยง เพราะหากชาวอเมริกันรู้สึกว่า ทรัมป์ ถูกรังแกอย่างไม่เป็นธรรมก็อาจจะทำให้พรรคเดโมแครตเป็นฝ่ายเสียคะแนนนิยมเสียเอง ปรากฏการณ์เช่นนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วกับพรรครีพับลิกันซึ่งสูญเสียที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรในปี 1998 จากผลของการไล่บี้ถอดถอน คลินตัน
ทรัมป์ ให้สัญญาว่าจะเปิดเผยสคริปต์บทสนทนาฉบับเต็มระหว่างตนกับผู้นำยูเครนภายในวันพุธ (25) ขณะที่ ส.ส.แดโมแครตยังต้องการทราบข้อร้องเรียนลับจากผู้เปิดโปง (whistleblower) รายหนึ่งในประชาคมข่าวกรอง รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับการพิจารณามอบเงินช่วยเหลือแก่ยูเครน
แอดัม ชิฟฟ์ ประธานคณะกรรมการข่าวกรองแห่งสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ยืนยันว่าคณะทำงานของเขากำลังติดต่อไปยังทนายซึ่งเป็นตัวแทนของผู้เปิดโปง และบุคคลดังกล่าวยินดีที่จะเข้าให้ข้อมูลกับคณะกรรมการภายในสัปดาห์นี้
ก่อนหน้านี้ ทำเนียบขาวปฏิเสธที่จะส่งคำร้องเรียนของผู้เปิดโปงให้กับสภาคองเกรส แต่ล่าสุดมีคำยืนยันจากเจ้าหน้าที่เมื่อค่ำวันอังคาร (24) ว่า ทำเนียบขาวจะเผยแพร่คำร้องเรียนดังกล่าวในช่วงปลายสัปดาห์ และอาจอนุญาตให้ผู้เปิดโปงรายนี้พบกับทีมสืบสวนของสภาคองเกรสด้วย
ทรัมป์ ระบุว่า สคริปต์บทสนทนาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการพูดคุยระหว่างเขากับผู้นำยูเครน “ไม่มีอะไรไม่เหมาะสม” และยืนยันว่าตนไม่เคยกดดัน เซเลนสกี ให้ตรวจสอบไบเดน รวมถึงไม่เคยใช้เงินช่วยเหลือของรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นเครื่องมือต่อรอง
จนถึงขณะนี้ ทรัมป์ ยังไม่เคยแสดงหลักฐานยืนยันว่า ไบเดน และบุตรชายทำผิดอย่างไร