เอเจนซีส์ - สื่อเกาหลีเหนือเผยผู้นำ คิม จองอึน เดินทางไปควบคุมการยิงทดสอบระบบจรวดหลายลำกล้องขนาดใหญ่พิเศษ (super-large multiple rocket launcher) ซึ่งถือเป็นอาวุธตัวล่าสุดที่เปียงยางงัดออกมาโชว์ และทำให้สถานการณ์บนคาบสมุทรเกาหลียิ่งร้อนระอุขึ้น
กองทัพเกาหลีใต้ยืนยันเมื่อวานนี้ (10 ก.ย.) ว่า เกาหลีเหนือได้ยิง “จรวดไม่ทราบชนิด” จากบริเวณเมืองแกชอน (Kaechon) ในจังหวัดพยองันใต้ โดยจรวดดังกล่าวพุ่งออกไปไกลประมาณ 330 กิโลเมตร
การทดสอบครั้งนี้มีขึ้นไม่นาน หลังจากที่รัฐบาลเปียงยางแสดงความเต็มใจที่จะรื้อฟื้นการเจรจาระดับคณะทำงานกับสหรัฐฯ ในช่วงปลายเดือน ก.ย.
สำนักข่าว KCNA ของเกาหลีเหนือรายงานว่า ผู้นำ คิม ได้เดินทางไป “มอบคำชี้แนะ” ต่อการยิงทดสอบที่มีขึ้นเมื่อวันอังคาร (10)
คิม ซึ่งเคยไปคุมการทดสอบจรวดหลายลำกล้องชนิดเดียวกันนี้มาแล้วเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน กล่าวว่า ศักยภาพของระบบจรวดชนิดนี้ “ผ่านการทดสอบยืนยันในแง่ของปฏิบัติการรบ” และสิ่งที่จะต้องทำต่อไปก็คือ “การทดสอบยิงรัวต่อเนื่อง (running-fire test)” ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่โดดเด่นที่สุดของจรวดหลายลำกล้อง
ผู้นำโสมแดงยังสั่งให้บรรดาเจ้าหน้าที่ผู้ติดตาม ซึ่งรวมถึง ‘คิม โยจอง’ น้องสาวแท้ๆ ปฏิบัติภารกิจอย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาระบบป้องกันประเทศให้ล้ำสมัย
แม้การทดสอบอาวุธในเกาหลีเหนือจะเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ กัน เช่น การพัฒนาทางเทคนิคและสร้างความเชื่อมั่นแก่สถาบันกลาโหม เป็นต้น แต่นักวิเคราะห์ชี้ว่าการทดสอบเมื่อวานนี้ (10) ดูเหมือนจะเป็นความตั้งใจส่งสารถึงสหรัฐฯ โดยตรงว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากสหรัฐฯ ไม่ยอมหันหน้าเจรจาและยื่นข้อเสนอที่ปฏิบัติได้จริง
ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ชี้ว่าการยิงทดสอบขีปนาวุธพิสัยใกล้ของเกาหลีเหนือไม่ถือว่าละเมิดข้อตกลง ขณะที่ จอห์น โบลตัน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงสายเหยี่ยวของทำเนียบขาวซึ่งเพิ่งจะถูกเด้งฟ้าผ่าไปหมาดๆ เมื่อวานนี้ (10) ยืนยันว่าแม้แต่ขีปนาวุธพิสัยใกล้ก็ถือว่าละเมิดคำสั่งห้ามของยูเอ็น
โช ซอนฮุย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศเกาหลีเหนือ ได้ออกคำแถลงผ่าน KCNA เมื่อวันจันทร์ (9) ว่า รัฐบาลโสมแดง “เต็มใจที่จะพูดคุยกับสหรัฐฯ เพื่อหารืออย่างครอบคลุมในประเด็นต่างๆ ที่ทั้งสองฝ่ายหยิบยกขึ้นมาคุย” ในช่วงปลายเดือนนี้ โดยยังไม่ระบุสถานที่และวันเวลาที่ชัดเจน
ทรัมป์ และ คิม ได้พบกันเป็นครั้งแรกที่สิงคโปร์เมื่อเดือน มิ.ย. ปี 2018 และลงนามข้อตกลงซึ่งมีเนื้อหากว้างๆ ว่าจะร่วมกันทำงานเพื่อปลดอาวุธนิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลี แต่ทว่าในทางปฏิบัติกลับแทบไม่มีความคืบหน้า เนื่องจากทั้ง 2 ฝ่ายยังเห็นไม่ตรงกันว่าถ้อยแถลงนี้มีความหมายอย่างไรแน่ ต่อมาการประชุมซัมมิตครั้งที่ 2 ที่เวียดนามเมื่อเดือน ก.พ. ปีนี้ก็ปิดฉากลงด้วยความล้มเหลว
ทรัมป์ และ คิม พบกันเป็นครั้งที่ 3 ที่เส้นพรมแดนสองเกาหลีเมื่อปลายเดือน มิ.ย. และต่างให้สัญญาต่อกันว่าจะรื้อฟื้นการเจรจาระดับคณะทำงาน แต่จนถึงบัดนี้การพูดคุยก็ยังไม่ได้เริ่ม