xs
xsm
sm
md
lg

คอลัมน์นอกหน้าต่าง: สงครามการค้ากับ‘ทรัมป์’และการประท้วงในฮ่องกง ทำให้ฐานะ‘สี จิ้นผิง’มั่นคงยิ่งขึ้นภายในจีน

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

<i>ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง หารือกันระหว่างการประชุมซัมมิตกลุ่ม จี20 ที่เมืองโอซากา ประเทศญี่ปุ่น  ทว่าสงครามการค้าก็ยังคงกลับปะทุขึ้นมาอีก <i>
สำหรับโลกภายนอกแล้ว พรรคคอมมิวนิสต์ซึ่งเป็นพรรคที่บริหารปกครองจีนอยู่ กำลังเผชิญกับบางปัญหายุ่งยากทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ ซึ่งถือได้ว่าหนักหน่วงที่สุดในรอบระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมาทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสงครามการค้าที่ยังคงขยายตัวและทำให้เศรษฐกิจที่ชะลอตัวอยู่แล้วยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก กับการประท้วงซึ่งบานปลายออกไปเรื่อยๆ ในฮ่องกง

ทว่าสำหรับภายในประเทศ ที่คณะผู้นำของจีนกำลังเตรียมการสำหรับวาระครบรอบ 70 ปีแห่งการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนในวันที่ 1 ตุลาคมที่จะถึงนี้ กลับแทบไม่มีเครื่องบ่งชี้ใดๆ ว่าประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กำลังถูกโจมตีเล่นงานในทางการเมือง

ผู้คนจำนวนมากในปักกิ่งนั้นเชื่อว่า แนวทางวิธีการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯดำเนินอยู่ เป็นการมุ่งหน้าสู่สงครามการค้า เช่นเดียวกับที่ความพยายามของรัฐบาลจีนที่จะอาศัยวอชิงตันเป็นแพะรับบาปสำหรับความไม่สงบในฮ่องกง ก็เป็นสิ่งที่รับฟังได้ ด้วยเหตุนี้ จึงกลายเป็นฉากกำบังภัยทางการเมืองอันสะดวกและทรงประสิทธิภาพให้แก่ สี อย่างน้อยก็ในระยะสั้น

ช่วงเวลานี้ของปีที่แล้ว ตอนที่ สี พร้อมกับพวกเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนอื่นๆ จัดการพูดจาหารือลับประจำปีกันที่รีสอร์ตริมทะเล “เป่ยไต้เหอ” ในมณฑลเหอเป่ย ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงปักกิ่งไม่ถึง 300 กิโลเมตร แหล่งข่าวหลายรายบอกกับสำนักข่าวรอยเตอร์ในตอนนั้นว่า มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์พุ่งแรงอย่างผิดธรรมดาในแวดวงข้าราชการ เกี่ยวกับการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจและวิธีที่รัฐบาลใช้รับมือสงครามการค้ากับสหรัฐฯ

แต่สำหรับการชุมนุมหารือระดับสูงริมชายหาดประจำปีทำนองเดียวกันของปีนี้ ซึ่งน่าที่จะเสร็จสิ้นลงในสัปดาห์ที่ผ่านมา ท่ามกลางวิกฤตอันล้ำลึกทั้ง 2 เรื่องดังกล่าว กลับไม่ปรากฏว่ามีเสียงคัดง้างไม่เห็นด้วย ออกมาให้ได้ยินได้ฟังกันอย่างชัดเจน

“ระยะเดือนต้นๆ ยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อยู่บ้างในเรื่องที่ว่ารัฐบาลไม่ได้เปิดประตูกว้าง (ดำเนินการปฏิรูปทางตลาด) ให้รวดเร็วเพียงพอ” ที่ปรึกษารัฐบาลจีนผู้หนึ่งซึ่งขอให้สงวนนาม เปิดปากเล่าให้ฟัง โดยหมายถึงเสียงแสดงความไม่เห็นด้วยภายในพรรคซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยมีเกิดขึ้น ในระหว่างการเปิดฉากยิงซัลโวใส่กันของสงครามการค้าเมื่อปีที่แล้ว

“แต่เมื่อมาถึงตอนนี้ ในประเทศจีนกำลังมีฉันทามติมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า สหรัฐฯกำลังพยายามที่จะปิดล้อมจีน ไม่ว่าเราจะทำอะไรยังไงก็ตามที”

แหล่งข่าวรายนี้ ซึ่งเฝ้าติดตามการเจรจาการค้าสหรัฐฯ-จีนอย่างใกล้ชิด บอกว่าการที่ทรัมป์ข่มขู่ตอนต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา จะขึ้นภาษีศุลกากร 10% ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน จากสินค้าเข้าของจีนอีกส่วนหนึ่งที่มีมูลค่ารวม 300,000 ล้านดอลลาร์นั้น สำหรับคนจำนวนมากในจีนแล้ว นี่เป็นหลักฐานซึ่งแสดงว่าทรัมป์ไม่ได้มีความจริงใจและไม่ได้ต้องการที่จะทำดีลกันจริงๆ

ในวันอังคาร (13) ที่แล้ว ทรัมป์ได้ชะลอเส้นตายการขึ้นภาษีศุลกากรส่วนล่าสุดนี้ให้แก่สินค้าอย่างเช่น โทรศัพท์มือถือ, แล็ปท็อป, และสินค้าเพื่อผู้บริโภคอย่างอื่นๆ ด้วยความหวังว่าจะลดผลกระทบซึ่งจะมีต่อยอดขายปลีกช่วงเทศกาลคริสต์มาสในสหรัฐฯเอง กระนั้นก็ตามที ในเดือนสิงหาคมนี้เขาก็ยังคงประทับตราจีนว่าเป็นประเทศผู้ปั่นค่าเงินตรา ถึงแม้ในทัศนะของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) จะมองว่า มูลค่าของเงินหยวนจีน ส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในแนวทางสอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานต่างๆ ทางเศรษฐกิจ

“คนจำนวนมากจะรู้สึกกันว่า มันไม่มีประโยชน์ที่จะเจรจาต่อรองกับทรัมป์” ที่ปรึกษาผู้นี้กล่าว

‘สี’ตามจับพิสูจน์ว่าทรัมป์‘ลักไก่’

ข้อความเช่นนี้ย่อมสอดคล้องเข้ากันกับนโยบายแบบชาตินิยมอย่างไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมซึ่ง สี ผลักดันออกมา นับตั้งแต่ขึ้นครองอำนาจเมื่อปี 2012 อีกทั้งยังได้แสดงออกมาผ่านทางสื่อรัฐ ซึ่งเพิ่มระดับในการทำสงครามน้ำลายประจำวันกับฝ่ายสหรัฐฯ

“สงครามการค้าสหรัฐฯกำลังบีบเค้นพวกมีแนวคิดโปรสหรัฐฯภายในจีนอย่างรุนแรง ทำให้มันง่ายขึ้นสำหรับพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่จะสามัคคีสังคมจีนให้เป็นหนึ่งเดียวกัน” หู ซีจิน บรรณาธิการใหญ่ของ โกลบอลไทมส์ หนังสือพิมพ์แทบลอยด์ในเครือของเหรินหมินรึเป้า ปากเสียงอย่างเป็นทางการของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เขียนทางทวิตเตอร์เมื่อสัปดาห์ก่อน

ส่วนผู้บริหารชาวอเมริกันในจีนคนหนึ่งก็กล่าวว่า เขาคิดว่าจากวิธีการที่ทรัมป์จัดการกับเรื่องขึ้นภาษี 10% นี้ มันจะส่งผลร้ายต่อสหรัฐฯและกลับเพิ่มความได้เปรียบให้แก่ สี

“มันกลายเป็นการหนุนส่งฐานะของ สี ขณะที่เขาเดินทางไปยังเป่ยไต้เหอ เขาสามารถที่จะกวาดตามองไปทั่วห้องประชุม และพูดว่า 'เห็นไหม คุณไม่สามารถเจรจากับคนอย่างนี้ได้หรอก' สีตามจับและพิสูจน์ให้เห็นว่าทรัมป์นั้นลักไก่” ผู้บริหารคนนี้กล่าว
<i>ส่วนหนึ่งของขบวนผู้ประท้วงในฮ่องกงเมื่อวันที่ 21 ก.ค. ที่ผ่านมา </i>
ทางด้าน จูด บลังเชตต์ นักวิจัยอาวุโสด้านจีนศึกษา ณ ศูนย์เพื่อยุทธศาสตร์และการระหว่างประเทศศึกษา (CSIS) ในกรุงวอชิงตัน บอกว่าขณะที่สีกำลังเผชิญภาวะแวดล้อมภายนอกที่กำลังท้าทาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการประท้วงในฮ่องกง แต่ภายในประเทศแล้วเขาไม่ได้มีฐานะอ่อนแอลงอย่างชัดเจนใดๆ

“สี จิ้นผิงนั้นจนถึงเวลานี้ถือว่าโชคดี เพราะเขามีประธานาธิบดีสหรัฐฯผู้คอยเปลี่ยนใจกลับไปกลับมา จึงกำลังคอยสนับสนุนเหตุผลที่ สี หยิบยกมาอ้างว่า ความสัมพันธ์สหรัฐฯ-จีนได้เปลี่ยนมาอยู่ในสภาพเลวร้ายยิ่งเช่นนี้ ก็เนื่องมาจากมีผู้นำสหรัฐฯที่ไม่สามารถคาดการณ์พยากรณ์ได้” บลังเชตต์ บอก

ในจีนแผ่นดินใหญ่ ท่ามกลางการเซนเซอร์อินเทอร์เน็ตอย่างเข้มงวด แทบไม่ปรากฏให้เห็นเลยว่าในหมู่ผู้คนวงกว้างมีความรู้สึกสมานฉันท์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ให้แก่พวกผู้ประท้วงในฮ่องกง ผู้ซึ่งถูกสื่อรัฐของจีนประณามดังก้องขึ้นเรื่อยๆ ว่า เป็น “พวกหัวรุนแรงที่ชอบใช้ความรุนแรง”

จีนยังวาดภาพวอชิงตันว่าเป็น “มือที่สาม” ซึ่งกำลังปลุกปั่นยุแหย่การชุมนุมเดินขบวนที่ดำเนินมาเป็นแรมเดือนและรุนแรงเพิ่มขึ้นทุกทีในอดีตอาณานิคมของอังกฤษแห่งนั้น

กระนั้น ลักษณะที่คาดการณ์ทำนายล่วงหน้าไม่ได้ในเรื่องการค้าของทรัมป์ ก็ได้สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าขึ้นในคณะผู้นำจีน พวกบุคคลวงในด้านนโยบายเปิดเผย ขณะที่อัตราภาษีศุลกากรที่สูงขึ้นของสหรัฐฯก็สร้างความเสียหายให้แก่เศรษฐกิจจีนที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก

สี แทบไม่มีทางเลือกดีๆ ไม่ว่าสำหรับรับมือกับสงครามการค้า ซึ่งในปักกิ่งมองกันว่าเป็นแนวรบด้านหนึ่งในเป้าหมายระยะยาวของวอชิงตันซึ่งมุ่งบีบคั้นทำลายการพัฒนาของจีน หรือสำหรับจัดการกับการประท้วงในฮ่องกง ที่สร้างความตื่นตระหนกฉับพลันมากยิ่งกว่าด้วยซ้ำ ให้แก่เสถียรภาพทางการเมืองระยะสั้นของแดนมังกร

อย่างไรก็ดี ระยะเวลาหลายปีที่ใช้ไปในการรวมศูนย์อำนาจของเขาในหมู่ชนชั้นนำผู้ปกครองจีน ซึ่งก็รวมถึงการยกเลิกข้อจำกัดจำนวนสมัยที่เขาสามารถดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ตลอดจนการรณรงค์ปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างกว้างขวาง ย่อมหมายความว่าบรรดานักวิเคราะห์มองไม่เห็นหรอกว่า วิกฤตการณ์เหล่านี้กำลังสร้างความเสียหายให้แก่ความเป็นผู้นำของเขา

บลังเชตต์บอกว่า สี ยังคงสามารถรักษาตำแหน่งเลขาธิการใหญ่ของพรรคเอาไว้ได้อย่างมั่นคง แต่กระนั้นเขาก็กำลังพบว่ามีความยากลำบากที่จะขับเคลื่อนนโยบาย เนื่องจาก เขาอยู่ในสภาพซึ่งมี “กลุ่มพันธมิตรที่กระจัดกระจายตัว หรือไม่ก็เป็นกลุ่มพันธมิตรที่ไม่มีความสุข”

“นี่คือเหตุผลจริงแท้แน่นอนที่ว่า ทำไมคุณต้องรักษาพันธมิตรเอาไว้ทั้งในกองทัพและในหน่วยงานความมั่นคง ในหน่วยงานพิทักษ์ศูนย์กลางและภายในกรมการเมือง ก็เพื่อคอยพยุงความเป็นผู้นำของคุณเอาไว้ในเวลาเผชิญกับความท้าทาย” บลังเชตต์กล่าว

ความเสี่ยงจากการไม่ปฏิรูป

ทั้งพวกนักวิเคราะห์ชาวจีนและชาวต่างชาติเห็นพ้องกันว่า สภาพซึ่งความสามารถของรัฐบาลแดนมังกรในการปรับตัวและดำเนินการปฏิรูปต่างๆ ทางตลาดที่จำเป็น กำลังถูกลากยาวออกไปเรื่อยๆ สืบเนื่องจากการควบคุมทางการเมืองที่เข้มงวดยิ่งขึ้นภายใต้การนำของ สี กำลังกลายเป็นความเสี่ยงระยะยาวอันร้ายแรงซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจจีนพลิกคว่ำตกรางได้

“การปฏิรูปต่างๆ ไม่ได้ก้าวคืบหน้าไป และก็ไม่มีการถอยหลังกลับ ปัญหาสำหรับเศรษฐกิจจะยังไม่ใหญ่โตอะไรหรอกในปีนี้ เราจำเป็นที่จะต้องเฝ้าดูต่อไปในปีหน้า มันจะต้องเกิดปัญหายากลำบากขึ้นมาแน่ๆ” ที่ปรึกษารัฐบาลจีนคนที่สองกล่าวกับรอยเตอร์

ที่ปรึกษารัฐบาลจีนคนแรกซึ่งบอกว่าเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในตอนต้นๆ เกี่ยวกับการรับมือกับสงครามการค้าของ สี เวลานี้ได้หดหายไปแล้วนั้น กล่าวเตือนเช่นกันว่า สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาในตอนนี้ก็คือ พวกเจ้าหน้าที่จีนถ้าไม่กลายเป็นอัมพาตขยับอะไรไม่ออก ก็กำลังส่งสัญญาณทางนโยบายที่ขัดกันเอง ในเวลาที่เผชิญกับความท้าทายจากภายนอกเหล่านี้ และการที่จีนเองไม่ได้ดำเนินการปฏิรูปต่างๆ ทางเศรษฐกิจ กำลังจะกลายเป็นปัญหาที่ใหญ่โตยิ่งกว่าสงครามการค้าเสียอีก

“รัฐบาลจำเป็นที่จะต้องมีปฏิบัติการบางอย่างบางประการ แต่เวลานี้พวกเขาไม่ได้มีที่ทางจะทำเช่นนั้นได้” เขากล่าว เวลานี้“พวกเขาไม่ได้มีความปรารถนาที่จะลงมือปฏิบัติการ มันมีข้อจำกัดมากมายเหลือเกิน มันมีความเสี่ยงมากมายเหลือเกิน ดังนั้นเราจึงได้แต่เฝ้ารอ”

(เก็บความจากเรื่อง Amid crises, frayed U.S. ties give China's Xi political cover at home บทวิเคราะห์ของสำนักข่าวรอยเตอร์)
กำลังโหลดความคิดเห็น