Indian authorities lock down Kashmir's major city on Eid holiday
By Zeba Siddiqui and Fayaz Bukhari, Reuters
12/08/2019
กำลังกึ่งทหารและตำรวจของอินเดีย ต้องใช้มาตรการจำกัดต่างๆ อย่างเข้มงวดกวดขันในศรีนคร เมืองใหญ่ที่สุดของแคว้นแคชเมียร์ ในช่วงวันอิดิลอัฎฮา ของชาวมุสลิม เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดการชุมนุมประท้วงใหญ่ คัดค้านการที่นิวเดลียกเลิกสิทธิปกครองตนเองด้านต่างๆ ของดินแดนเทือกเขาหิมาลัยแห่งนี้
กองกำลังความมั่นคงของอินเดียยังคงใช้มาตรการเข้มงวดกวดขันในศรีนคร (Srinagar) จนเมืองใหญ่ที่สุดของแคว้นแคชเมียร์แห่งนี้อยู่ในสภาพถูกปิดตายเป็นส่วนใหญ่เมื่อวันจันทร์ (12 ส.ค.) ซึ่งเป็นเทศกาลอิดิลอัฎฮา (Eid al-Adha) ของชาวมุสลิม ทั้งนี้ด้วยจุดมุ่งหมายที่จะป้องกันไม่ให้มีการประท้วงใหญ่ใดๆ เพื่อคัดค้านการตัดสินใจยกเลิกสิทธิพิเศษต่างๆ ของดินแดนในเทือกเขาหิมาลัยแห่งนี้
ในแคชเมียร์ซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม อีกทั้งยังมีปากีสถานกล่าวอ้างกรรมสิทธิ์พิพาทช่วงชิงกับอินเดียด้วยนั้น เวลานี้กำลังมีความรู้สึกหงุดหงิดผิดหวังมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อความเคลื่อนไหวของนิวเดลีในสัปดาห์ที่แล้วที่ยกเลิกสิทธิปกครองตนเองด้านต่างๆ ของรัฐจัมมูและแคชเมียร์นี้ รวมทั้งการยกเลิกข้อห้ามไม่ให้ผู้ที่ไม่ใช่ชาวรัฐนี้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ในรัฐ
ที่ศรีนครเมื่อวันจันทร์ (12 ส.ค.) มีประชาชนหลายร้อยคนซึ่งพากันตะโกนคำขวัญต่อต้านอินเดีย ทะลักออกมาสู่ถนนสายต่างๆ ภายหลังเข้าร่วมพิธีละหมาดในย่านซูระ (Soura) อันเป็นจุดที่เคยเกิดการชุมนุมเดินขบวนใหญ่ในวันศุกร์ (9 ส.ค.) มาแล้ว แต่พวกเจ้าหน้าที่ได้เข้าปิดล้อมพื้นที่แถวนี้เอาไว้อย่างหนาแน่น และพยายามทำให้การประท้วงอยู่แต่ในระดับท้องถิ่นเท่านั้น
“เราต้องการเสรีภาพ เราไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของอินเดีย และก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของปากีสถาน” เป็นคำกล่าวของ อาซิฟะ (Asifa) หญิงวัย 18 ปีซึ่งอยู่ในหมู่ผู้ทำการประท้วงภายหลังพิธีละหมาด ณ สถานบูชาแห่งจินับ ซาฮิบ (shrine of Jinab Sahib) ในย่านซูระ
“โมดี(นายกรัฐมนตรีอินเดีย) กำลังโกหกประชาชนของเขาว่า การยกเลิกสถานะพิเศษของแคชเมียร์เป็นเรื่องดีสำหรับเรา” เธอกล่าว “เราจะต่อต้านเรื่องนี้ไปจนกระทั่งลมหายใจสุดท้ายของพวกเรา”
เสียงของพวกผู้ประท้วงที่กำลังตะโกนคำขวัญต่อต้านอินเดียและฝักใฝ่ปากีสถานดังขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่เสียงของเฮลิคอปเตอร์หลายลำก็คำรามก้องอยู่เหนือศีรษะ ทั้งนี้มีอากาศยานเช่นนี้อย่างน้อย 3 ลำซึ่งเคลื่อนตัวอยู่เหนือเมืองศรีนครเพื่อคอยตรวจตราเฝ้าระวัง
ผู้เห็นเหตุการณ์หลายรายเล่าด้วยว่า ในช่วงวันอาทิตย์ (11 ส.ค.) และเช้าวันจันทร์ (12) ได้เกิดเหตุขว้างก้อนหินใส่พวกกองกำลังความมั่นคงขึ้นมาเป็นพักๆ
เรื่องนี้ กระทรวงมหาดไทยของอินเดียได้ออกคำแถลงยอมรับว่า “มีเหตุการณ์ขว้างปาก้อนหินอยู่บ้าง โดยแต่ละเหตุการณ์ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน” พร้อมกับเสริมว่ามันอยู่ “ในระดับที่ไม่มีความสำคัญอะไร”
คำแถลงบอกอีกว่า ตำรวจได้ขับไล่พวกผู้ประท้วง โดยที่มีผู้ได้รับบาดเจ็บสำคัญแค่ 1 หรือ 2 คน แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดมากกว่านี้ พวกเจ้าหน้าที่มีอำนาจหลายรายยังยืนยันว่าไม่ได้มีเหตุยิงปืนใส่กองกำลังความมั่นคงแต่อย่างใด
มัสยิดใหญ่ๆ บางแห่งปิด
พวกผู้สื่อข่าวของรอยเตอร์อยู่ในหมู่ประชาชนจำนวนมากที่ถูกสกัดเอาไว้ตามด่านตรวจ และไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าสู่หลายๆ ส่วนของเมืองศรีนครในวันอาทิตย์ (11 ส.ค.)
“ในศรีนคร เนื่องจากคำนึงถึงความเป็นไปได้ที่อาจมีพวกผู้ก่อการร้าย, พวกหัวรุนแรง, และกลุ่มที่เป็นอันตราย กำลังพยายามก่อกวนความสงบเรียบร้อยของสาธารณชน จึงมีการประกาศข้อจำกัดต่างๆ อันสมเหตุสมผลในเรื่องการชุมนุมผู้คนขนาดใหญ่ๆ ตามพื้นที่อ่อนไหวทั้งหลาย” คำแถลงของกระทรวงมหาดไทยอินเดียระบุ
คำแถลงกล่าวด้วยว่า ประชาชนยังคงไปรวมกันเป็นจำนวนมากๆ ในมัสยิดต่างๆ ในแคชเมียร์เมื่อวันจันทร์ (12 ส.ค.) อย่างไรก็ตาม มัสยิดและศาสนสถานสำคัญๆ ในรัฐนี้จำนวนมาก รวมทั้งมัสยิดจาเมีย (Jamia Masjid mosque) ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง และมีพื้นที่บรรจุผู้คนได้มากกว่า 30,000 คนนั้น ปรากฏว่าปิดไม่ได้ให้สาธุชนเข้าไปละหมาด ทั้งนี้สาธุชนทั้งหลายได้รับคำชักชวนให้ไปละหมาดกันในมัสยิดขนาดย่อมๆ ลงมา ซึ่งอยู่ใกล้ๆ ถิ่นที่พักอาศัยของพวกเขา
เรื่องนี้ แหล่งข่าวรัฐบาลอินเดียในนิวเดลีรายหนึ่งอธิบายว่า “มีมัสยิดบางแห่งที่ไม่ได้เปิด นี่เป็นเพราะทางฝ่ายบริหารมีความคิดเห็นว่า มีสถานการณ์ที่อ่อนไหวกับเรื่องการรักษากฎหมายและความสงบเรียบร้อย”
สำหรับการควบคุมปิดกั้นการสื่อสารโทรคมนาคม ก็ยังคงดำเนินต่อไป โดยในวันจันทร์ (12 ส.ค.) เป็นวันที่ 8 ซึ่งผู้คนไม่สามารถเข้าอินเทอร์เน็ตตามปกติได้ ขณะที่โทรศัพท์ทั้งโทรศัพท์เคลื่อนที่และโทรศัพท์พื้นฐาน ก็ต่อสายไปไหนไม่ได้
กล่าวได้ว่า ในทางเป็นจริงแล้วสัปดาห์ที่ผ่านมา ไม่ได้มีข้อมูลข่าวสารที่เป็นอิสระใดๆ ปรากฏออกมาจากสถานที่แห่งไหนๆ ในหุบเขาแคชเมียร์ (Kashmir Valley) ยกเว้นจากศรีนครเท่านั้น
เวลาเดียวกัน พวกผู้นำท้องถิ่นและนักเคลื่อนไหวจำนวนรวมกว่า 300 คน ยังคงถูกคุมขังกักตัวไว้ในรูปแบบต่างๆ
ร้านค้าพากันปิด
ชาวบ้านชาวเมืองหลายรายบอกว่า บรรยากาศความเงียบเชียบตามถนนสายต่างๆ ในเมืองศรีนครก่อนหน้าถึงเทศกาลอิดิลอัฎฮา คราวนี้ ไม่ได้เหมือนกับประสบการณ์ที่พวกเขาเคยผ่านมาเอาเลย แม้กระทั่งจุดซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีที่สุดของศรีนคร อย่างเช่น จัตุรัส ลัล ชอว์ค (Lal Chowk) ปีก่อนๆ เต็มไปด้วยผู้คน แต่ในปีนี้กลับว่างเปล่า
ร้านค้าต่างๆ พากันปิด โดยที่บานปิดและกำแพงของร้านรวงเหล่านี้ถูกพ่นสีเขียนข้อความต่อต้านอินเดีย เป็นต้นว่า “กลับไปอินเดีย กลับไปซะ” และ “เราต้องการเสรีภาพ”
พวกเจ้าหน้าที่ความมั่นคงทั้งที่เป็นกำลังกึ่งทหารและกำลังตำรวจ เวลาสนทนากับเหล่านักข่าวของรอยเตอร์ ต่างกล่าวถึงมาตรการจำกัดเข้มงวดต่างๆ โดยเรียกว่า “เคอร์ฟิว” ขณะที่จุดยืนอย่างเป็นทางการของอินเดียคือ มีการประกาศใช้มาตรการจำกัดต่างๆ แต่ไม่มีการประกาศเคอร์ฟิว
มาตรการจำกัดที่ใช้ในศรีนครเวลานี้ ถือเป็นความเข้มงวดกวดขันที่สุดเท่าที่เมืองนี้เคยประสบมา เจ้าหน้าที่กองกำลังกึ่งทหาร 2 คนบอกกับรอยเตอร์ในวันจันทร์ (12 ส.ค.)
กำลังตำรวจและทหารซึ่งจำนวนมากสวมชุดปราบจลาจลอันหนักอึ้ง ถูกส่งไปประจำตามถนนที่บรรยากาศเงียบเชียบ โดยที่มีการตั้งด่านตรวจเพิ่มเติมตั้งแต่ช่วงเวลาประมาณเที่ยงคืน อีกทั้งมีการนำเอาลวดหนามออกมาวางมากขึ้นเพื่อใช้เป็นเครื่องกีดขวาง
การตัดสินใจเพิ่มมาตรการจำกัดให้เข้มงวดมากขึ้นนี้ บังเกิดขึ้นในการประชุมระหว่างปลัดของรัฐ ซึ่งเป็นข้าราชการสูงสุดของรัฐจัมมูและแคชเมียร์ กับพวกผู้บริหารพื้นที่และนายตำรวจต่างๆ เมื่อวันอาทิตย์ (11 ส.ค.) เจ้าหน้าที่รัฐบาลระดับอาวุโสผู้หนึ่งบอกกับรอยเตอร์
“มีการตัดสินใจกันว่าจะต้องประกาศมาตรการจำกัดต่างๆ ในวันอีด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการชุมนุมซึ่งอาจกลายเป็นเหตุรุนแรงขึ้นมา”
คำขวัญฝักใฝ่ปากีสถาน
ผู้หญิงจำนวนมากอยู่ในกลุ่มผู้คนที่กำลังหลั่งน้ำตา ระหว่างที่มีการตะโกนคำขวัญว่า “เราต้องการเสรีภาพ” ในช่วงพิธีละเหมาด
“มีการประท้วงขนาดเล็กๆ ที่จำกัดอยู่แต่ในท้องถิ่นอยู่บ้างเหมือนกัน โดยที่เป็นการประท้วงซึ่งมักเกิดเป็นกิจวัตรอยู่แล้วในสถานที่สองสามแห่ง” คำแถลงของกระทรวงมหาดไทยบอก “นี่ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ไม่เคยรู้จักกันเลยในจัมมูและแคชเมียร์ในอดีตที่ผ่านมา”
พวกผู้คนในแคชเมียร์ได้เคยเตือนเอาไว้ว่า ทางการจะต้องเจอปฏิกิริยาโต้กลับคัดค้าน หากมีการลิดรอนอำนาจปกครองตนเองไปจากดินแดนแห่งนี้ ซึ่งมีพวกนักรบอิสลามิสต์ทำศึกต่อต้านการปกครองของอินเดียมาเป็นเวลาเกือบ 30 ปี จนทำให้มีผู้เสียชีวิตไปมากกว่า 50,000 คน
ทางด้านปากีสถานได้ลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตที่มีอยู่กับอินเดีย รวมทั้งระงับการค้าระหว่างกัน ด้วยความเดือดดาลต่อความเคลื่อนไหวล่าสุดของนิวเดลีคราวนี้
รัฐบาลปากีสถานได้ขอร้องพลเมืองของตนให้เฉลิมฉลองเทศกาลวันอีดปีนี้ “ในลักษณะเรียบๆ ง่ายๆ” เพื่อแสดงความสมานฉันท์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับชาวแคชเมียร์ ผู้ซึ่งเวลานี้พำนักอาศัยอยู่ทางฝั่งซึ่งอยู่ในความควบคุมของอินเดีย นอกจากนั้นยังมีผู้สวดอ้อนวอนโดยอุทิศให้แก่ชาวแคชเมียร์ในอินเดียอีกด้วย
“ชาตินิยมฮินดูเหมือนกับนาซีของฮิตเลอร์
นายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี ของอินเดีย แห่งพรรค ภารติยชนะตะ (Bharatiya Janata Party ใช้อักษรย่อว่า BJP) ซึ่งมีแนวทางชาตินิยมฮินดู ได้รณรงค์มานานแล้วให้ยกเลิกสิทธิพิเศษต่างๆ ของแคชเมียร์อันมีระบุเอาไว้ในรัฐธรรมนูญ โดยมองว่ามันเป็นมาตรการพะเน้าพะนอชาวมุสลิมซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา
พรรคบีเจพี และแม้กระทั่งผู้นำระดับสูงของฝ่ายค้านบางคน ได้แสดงความยินดีต้อนรับการตัดสินใจให้ดูดซับแคชเมียร์เข้าสู่อินเดียอย่างสมบูรณ์ และมาตรการนี้ยังทำให้โมดีได้เสียงสนับสนุนจากประชาชนส่วนใหญ่ทั่วประเทศ
แต่การตัดสินใจเช่นนี้ของอินเดียจุดชนวนให้เกิดความโกรธเกรี้ยวในปากีสถาน โดยที่นายกรัฐมนตรีอิมราน ข่าน ออกมาเรียกร้องเมื่อวันอาทิตย์ (11 ส.ค.) ว่า ถ้าประชาคมระหว่างประเทศเอาแต่ยืนดูเฉยๆ ขณะที่ลัทธิชาตินิยมฮินดูของอินเดียแพร่กระจายเข้าไปในดินแดนแคชเมียร์ที่ผู้คนส่วนใหญ่เป็นมุสลิมแล้ว มันก็เหมือนกับการที่โลกเคยพะเน้าพะนอฮิตเลอร์ เมื่อช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2
ดินแดนแคชเมียร์ได้ถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนซึ่งอินเดียกับปากีสถานเข้าปกครองฝ่ายละส่วน นับตั้งแต่ที่ 2 ประเทศนี้ได้รับเอกราชเมื่อปี 1947 พวกเขายังเคยทำสงครามกันมาแล้ว 2 ครั้งเนื่องจากข้อพิพาทช่วงชิงดินแดนซึ่งเคยเป็นอดีตราชอาณาจักรแห่งนี้
นายกฯข่านทวิตเมื่อวันอาทิตย์ (11 ส.ค.) ว่า “อุดมการณ์ของลัทธิฮินดูเป็นใหญ่เหนือคนอื่นๆ (Hindu Supremacy) ก็เหมือนๆ กับลัทธิคนอารยันเป็นใหญ่เหนือคนอื่นๆ ของพวกนาซี (Nazi Aryan Supremacy) มันจะไม่ยุติ” แค่ในแคชเมียร์
ข่านซึ่งเรียกความเคลื่อนไหวคราวนี้ของอินเดียว่าเป็น “แนวความคิด เลเบินส์เราม์ (Lebensraum) ของฮิตเลอร์ในเวอร์ชั่นของพวกนักลัทธิฮินดูเป็นใหญ่เหนือคนอื่นๆ” ซึ่งจะนำไปสู่ “การปราบปรามชาวมุสลิมในอินเดีย และถึงที่สุดก็จะนำไปสู่การพุ่งเป้าหมายเล่นงานปากีสถาน”
“ความพยายามนี้คือการมุ่งเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางประชากรของแคชเมียร์ โดยผ่านการล้างเผ่าพันธุ์” เขาทวีตเอาไว้เช่นนี้ “คำถามคือ: โลกจะแค่เฝ้ามองและคอยพะเน้าพอนอเหมือนที่พวกเขาเคยทำกับฮิตเลอร์ที่มิวนิคหรือไม่?”
เขาระบุอ้างอิงอย่างเจาะจงเป็นพิเศษถึงขบวนการราษฏรีย สวยัมเสวก สังฆ์ (Rashtriya Swayamsevak Sanghใช้อักษรย่อว่า RSS) ซึ่งเป็นขบวนการอาสาสมัครนักชาตินิยมฮินดูสุดโต่ง ซึ่งถูกมองว่าเป็นพ่อแม่ของพรรคบีเจพีของโมดี
ข่านยังโทรศัพท์พูดคุยกับประธานาธิบดีฮัสซัน รูฮานี ของอิหร่านในวันอาทิตย์ (11 ส.ค.) โดย “เป็นส่วนหนึ่งในการติดต่อกับผู้นำต่างๆ ของโลกเพื่อหารือเรื่องสถานการณ์แคชเมียร์” คำแถลงที่ออกโดยสำนักงานของนายกรัฐมนตรีปากีสถานระบุ
“ชาวมุสลิมของแคชเมียร์จักต้องสามารถใช้สิทธิและผลประโยชน์ต่างๆ ตามกฎหมายของพวกเขา เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตอยู่ในสันติภาพ” คำแลงนี้อ้างคำพูดของรูฮานี
พวกเจ้าหน้าที่ปากีสถานบอกว่า ข่านยังจะเดินทางเยือนดินแดนแคชเมียร์ส่วนที่อยู่ใต้การควบคุมของปากีถสานในสัปดาห์นี้ เพื่อแสดงถึงความสมานฉันท์เป็นหนึ่งเดียวกัน
ไม่มีบรรยากาศของเทศกาลเฉลิมฉลอง
นอกจากที่ศรีนครแล้ว สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า นักเคลื่อนไหวท้องถิ่นผู้หนึ่งเผยว่า ในดินแดนลาดัก (Ladakh) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของรัฐจัมมูและแคชเมียร์ ก็เต็มไปด้วยความตึงเครียดเช่นกัน โดยที่มีผู้ประท้วงหลายสิบคนเข้าร่วมการชุมนุมซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดี (8 ส.ค.) , ศุกร์ (9), และเสาร์ (10) และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 10 คนจากกองกำลังความมั่นคงอินเดียซึ่งใช้แก๊สน้ำตาและไม้กระบองเข้าปราบปราม
ในอีกด้านหนึ่ง ชาวบ้านชาวเมืองในแคชเมียร์ที่อินเดียควบคุมอยู่ พากันพูดว่าพวกเขาต้องดิ้นรนหนักในการตระเตรียมเพื่อต้อนรับเทศกาลอีด เนื่องจากถูกจำกัดด้วยมาตรการรักษาความปลอดภัยอันเข้มงวดกวดขัน
คุณแม่รายหนึ่งซึ่งบอกชื่อของเธอแค่ว่า ราเซีย (Razia) เล่าว่าเธอพยายามอธิบายให้ลูกสาวของเธอฟังว่า เธอไม่สามารถซื้อหาเสื้อผ้าใหม่ๆ ให้แก่ลูกสาวเพื่อฉลองวาระนี้ได้ ส่วนสามีของเธอก็กลัดกลุ้มเรื่องการหาเลี้ยงครอบครัวให้อยู่รอด
“วันอีดอะไรแบบนี้?” หญิงวัย 45 ปีผู้นี้กล่าวที่ศรีนคร
“พวกเรากระทั่งไม่ได้รับอนุญาตให้เดินทางไปข้างนอก สามีของฉันเป็นแรงงานรับจ้างรายวัน ซึ่งหาเงินไม่ได้เลยในช่วง 8 วันที่ผ่านมา”
พ่อค้าแกะรายหนึ่งในตลาดแห่งหนึ่งของศรีนคร ซึ่งให้ชื่อของเขาว่า มักบูล (Maqbool) กล่าวว่าจำนวนคนที่ซื้อสัตว์เพื่อให้ฆ่าสังเวยสำหรับฉลองเทศกาลวันอีด ได้ลดลงอย่างฮวบฮาบ และตัวเขาจากที่วาดวังจะ “ทำกำไรก้อนโต” ก็กลายเป็น “ขาดทุนใหญ่” ในปีนี้
เมื่อวันจันทร์ (12 ส.ค.) แทบไม่มีสัญญาณใดๆ ของความเป็นเทศกาลเฉลิมฉลองเอาเสียเลย โดยที่ชาวศรีนครจำนวนมากกล่าวว่า พวกเขาจะยกเลิกพิธีฆ่าสัตว์สังเวย ตามแบบแผนการเฉลิมฉลองวันอีดปกติที่เคยทำกันมา เนื่องจากพวกเขาไม่ได้มีความรู้สึกว่ากำลังเฉลิมฉลองเอาเลย
“เรากำลังฉลองอะไรล่ะ? ฉันไม่สามารถโทรศัพท์พูดคุยกับญาติๆ ของฉันเพื่ออวยพรวันอีด นอกจากนั้นพวกเรายังไม่สามารถออกไปข้างนอกเพื่อซื้อข้าวของ ดังนั้น นี่มันเป็นการฉลองอะไรกันล่ะ?” เป็นคำถามอง อานีซา ชาฟี (Aneesa Shafi) หญิงสูงอายุซึ่งกำลังเดินเข้ามัสยิดแห่งหนึ่งในย่านบาร์ซุลลา (Barzulla) ของศรีนคร
(ข้อเขียนชิ้นนี้ ยังได้ข้อมูลบางส่วนจากเรื่อง India to keep Kashmir on lockdown over Eid By Jalees Andrabi | Nasir Jaffry ในเอเชียไทมส์ https://www.asiatimes.com/2019/08/article/india-to-keep-kashmir-on-lockdown-over-eid/)