เอเจนซีส์ – ทรัมป์มีกำหนดแถลงทั่วประเทศในวันจันทร์ (5 ส.ค.) ภายหลังเหตุกราดยิงสองครั้งในวันเดียวที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 29 คน ท่ามกลางข้อกล่าวหาว่า วาทะปลุกเร้าความเกลียดชังของผู้นำสหรัฐฯ มีส่วนปลุกเร้าความรุนแรง เฉพาะสัปดาห์ที่แล้วมีการกราดยิงเกิดขึ้นถึง 4 ครั้ง ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ระบุว่า จะดำเนินคดีการโจมตีที่เอลปาโซ รัฐเทกซัส ในรูปคดีก่อการร้ายภายในประเทศ
การทำกิจวัตรประจำวันของคนทั่วไปกลายเป็นฝันสยองนองเลือด เมื่อผู้บริสุทธิ์ 20 คนถูกยิงดับขณะซื้อของในห้างวอลมาร์ทในเอลปาโซ รัฐเทกซัส ช่วงเช้าวันอาทิตย์ (4 ส.ค.) และ 13 ชั่วโมงต่อมา ผู้บริสุทธิ์อีก 9 คนเสียชีวิตจากเหตุกราดยิงหน้าบาร์แห่งหนึ่งในย่านท่องเที่ยวราตรีของเมืองเดย์ตัน รัฐโอไฮโอ
ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะต้องออกมาปลอบโยนประชาชนที่เสียขวัญจากโศกนาฏกรรมอีกครั้งระหว่างการแถลงที่กำหนดเวลาไว้ที่ 10.00 น. วันจันทร์ (21.00 น. ตามเวลาไทย) กล่าวภายหลังเหตุกราดยิงสองครั้งเมื่อวันอาทิตย์ว่า “ประเทศของเราไม่มีที่สำหรับความเกลียดชัง” โดยโทษว่าสาเหตุมาจากอาการป่วยทางจิต แม้ว่าตำรวจยังไม่ได้ยืนยันเรื่องนี้แต่อย่างใด
ที่โอไฮโอมีผู้บาดเจ็บ 27 คน มือปืนถูกวิสามัญในเวลาเพียง 30 วินาทีโดยตำรวจที่ออกตรวจตราพื้นที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง ส่วนเหตุการณ์ที่เทกซัสมีผู้บาดเจ็บ 26 คน
ริชาร์ด บีล ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจเดย์ตันแถลงว่า การรับมืออย่างรวดเร็วของตำรวจช่วยป้องกันไม่ให้มือปืนเข้าไปในบาร์ ซึ่งอาจทำให้มีคนบาดเจ็บล้มตายมากขึ้น มือปืนนั้นสวมหน้ากากและเสื้อกันกระสุน พร้อมปืนไรเฟิลจู่โจมและกล่องกระสุน 100 นัด เขาเป็นชายผิวขาว อายุ 24 ปี ชื่อว่า คอนเนอร์ เบ็ตส์ และหนึ่งในผู้เสียชีวิตคือน้องสาวของมือปืน นอกจากนี้ผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์นี้มี 6 คนที่เป็นคนผิวดำ ยังไม่ทราบแรงจูงใจที่ชัดเจนของมือปืน
ที่เทกซัส ผู้ต้องสงสัยยอมมอบตัวและให้ความร่วมมือกับพนักงานสอบสวนเป็นอย่างดี โดยสื่อรายงานว่า เป็นชายผิวขาว อายุ 21 ปี ชื่อว่า แพทริก ครูเซียส ซึ่งเชื่อว่า เป็นผู้โพสต์ข้อความออนไลน์ประณาม “การรุกรานเทกซัสของพวกละติน” โดยเอลปาโซนั้นตั้งอยู่บริเวณชายแดนติดกับเม็กซิโก และประชากรส่วนใหญ่มีเชื้อสายละติน
มาร์เซโล เอบราร์ด รัฐมนตรีต่างประเทศเม็กซิโก ระบุว่า เหยื่อ 7 คนใน 20 คนในเหตุกราดยิงที่เอลปาโซเป็นชาวเม็กซิโก และเม็กซิโกอาจพิจารณายื่นฟ้องร้องเพื่อให้มีการส่งตัวมือปืนข้ามแดนไปรับการพิจารณาคดีในเม็กซิโกในฐานะผู้ก่อการร้าย
ข้อความประณามดังกล่าวที่โพสต์ก่อนกราดยิงไม่นาน ยังยกย่องการสังหารหมู่ชาวมุสลิม 51 คนในมัสยิด 2 แห่งของเมืองไครสเชิร์ช นิวซีแลนด์ เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
ตำรวจระบุว่า ผู้ต้องสงสัยถูกตั้งข้อหาฆาตกรรมที่อาจมีโทษประหาร และเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลกลางเสริมว่า พนักงานสอบสวนเปิดสอบสวนเหตุกราดยิงในเอลปาโซเป็นคดีก่อการร้ายภายในประเทศ
เหตุกราดยิงที่เอลปาโซถือเป็นการกราดยิงที่มีคนตายมากที่สุดอันดับ 8 ในประวัติศาสตร์อเมริกัน รองจากการกราดยิงในซานอิซิโดร รัฐแคลิฟอร์เนีย ปี 1984 ที่มีผู้เสียชีวิต 21 คน
เหตุกราดยิงใหญ่สองครั้งล่าสุด ส่งผลให้สัปดาห์ที่ผ่านมากลายเป็นสัปดาห์แห่งความรุนแรงในอเมริกา โดยมีผู้เสียชีวิต 3 คนในการกราดยิงที่เทศกาลอาหารในแคลิฟอร์เนียเมื่อวันอาทิตย์ที่แล้ว (28 ก.ค.) และอีก 2 คนในการกราดยิงที่วอลมาร์ทรัฐมิสซิสซิปปีวันอังคาร (30 ก.ค.)
ทรัมป์ทวิตว่า การโจมตีในเอลปาโซเป็นการกระทำของคนขี้ขลาด แต่ก็มีเสียงวิจารณ์กึกก้องว่า พฤติกรรมการดูหมิ่นให้ร้ายผู้อพยพของทรัมป์เป็นการยัดเยียดความเกลียดชังคนต่างชาติเข้าสู่การเมืองกระแสหลัก และส่งเสริมกลุ่มลัทธิคนขาวเป็นใหญ่
ดี มาร์โก นายกเทศมนตรีเอลปาโซ ดูเหมือนมองข้ามประเด็นเชื้อชาติในเหตุกราดยิงครั้งนี้ โดยให้สัมภาษณ์สถานีฟ็อกซ์ นิวส์ว่า มือปืน “ป่วยทางจิต” แต่ผู้ว่าการรัฐเทกซัส เกร็ก แอ็บบอตต์ กล่าวว่า เหตุการณ์ดังกล่าวดูเหมือนเป็นอาชญากรรมจากความเกลียดชัง
สำนักงานสอบสวนกลาง (เอฟบีไอ) แถลงว่า การโจมตีครั้งนี้ตอกย้ำภัยคุกคามจากกลุ่มหัวรุนแรงภายในประเทศและผู้ยั่วยุให้เกิดอาชญากรรมจากความเกลียดชังที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เอฟบีไอยังแสดงความกังวลว่า กลุ่มหัวรุนแรงภายในประเทศอาจได้แรงบันดาลใจจากเหตุกราดยิงเหล่านี้รวมถึงการโจมตีร้ายแรงครั้งก่อนๆ และก่อเหตุลอกเลียนแบบ
ขณะเดียวกัน ผู้สมัครชิงตำแหน่งตัวแทนพรรคเดโมแครตลงศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีหลายคนต่างระบุว่า ทรัมป์ต้องรับผิดชอบต่อเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้น รวมทั้งมีการเรียกร้องให้เพิ่มความเข้มงวดกฎหมายควบคุมอาวุธปืน
พีท บุตติเจจ นายกเทศมนตรีเซาธ์เบนด์ ทวิตว่า ทรัมป์ไม่เพียงล้มเหลวในการเผชิญหน้าและปลดอาวุธผู้ก่อการร้ายภายในประเทศเท่านั้น แต่ยังส่งเสริมและให้อภัยต่อความเกลียดชังของผู้ก่อการร้ายเหล่านั้นด้วย
ขณะที่วุฒิสมาชิก เบอร์นี แซนเดอร์ส ทวิตเรียกร้องให้ทรัมป์ยุติการเหยียดหิว ถ้อยคำปลุกเร้าความเกลียดชังและต่อต้านผู้อพยพ และภาษาของทรัมป์สร้างบรรยากาศที่ส่งเสริมพวกสุดโต่ง