รอยเตอร์ - ยูเครนเปิดเผยในวันพฤหัสบดี (25 ก.ค.) ว่าพวกเขาได้ทำการควบคุมเรือบรรทุกน้ำมันสัญชาติรัสเซียลำหนึ่ง ตามคำกล่าวหามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุมอสโกยึดเรือของยูเครน 3 ลำเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีก่อน กระตุ้นให้เครมลินออกมาเตือนถึงผลที่ตามมาหากว่าพลเมืองรัสเซียถูกจับเป็นตัวประกัน
หน่วยงานด้านความมั่นคงของยูเครนยืนกรานว่าเรือบรรทุกน้ำมันลำดังกล่าวซึ่งตอนนี้จอดอยู่ที่ท่าเรืออิซมาอิลในยูเครน มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เมื่อเดือนพฤศจิกายน บริเวณช่องแคบเคอร์ช ที่รัสเซียยึดเรือของยูเครน 3 ลำ
“สำนักงานความมั่นคงยูเครน และสำนักงานอัยการทหารได้ควบคุมเรือบรรทุกน้ำมันเนย์มาของรัสเซีย ซึ่งขัดขวางกองเรือรบของยูเครนในช่องแคบเคอร์ช” หน่วยงานความมั่นคงระบุในถ้อยแถลงที่เผยแพร่ในวันพฤหัสบดี (25 ก.ค.)
รัสเซียเข้ายึดเรือและจับกุมลูกเรือในน่านน้ำที่กั้นแหลมไครเมีย ดินแดนที่ทางมอสโกยึดคืนจากยูเครนและผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนในปี 2014 ซึ่งทำให้นับตั้งแต่นั้นความสัมพันธ์ระหว่างมอสโกกับเคียฟดำดิ่งสู่ระดับต่ำสุด
กระทรวงการต่างประเทศรัสเซียเตือนยูเครนในวันพฤหัสบดี (25 ก.ค.) ว่า “จะต้องเจอกับผลที่ตามมาเร็วๆ นี้” หากว่าเหล่าสมาชิกลูกเรือรัสเซียของเรือบรรทุกน้ำมันที่ถูกยึดโดยเคียฟ ถูกจับเป็นตัวประกัน" สำนักข่าวอาร์ไอเอรายงาน
หน่วยงานความมั่นคงยูเครนไม่แสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ แต่เผยก่อนหน้านี้ว่าเรือลำดังกล่าวเข้ามาในยูเครนภายใต้ชื่อใหม่ “ไนกา สปิริต” เพื่อปกปิดว่าเคยเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดกฎหมาย อย่างไรก็ตาม พวกเขาสามารถระบุตัวตนของเรือได้ผ่านองค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (IMO)
วลาดิมีร์ ดจาบารอฟ ส.ส.รัสเซีย กล่าวในมอสโก ประณามปฏิบัติการควบคุมเรือบรรทุกน้ำมันของยูเครนว่า “ละเมิดกฎหมายโดยสิ้นเชิง” และบอกว่ามันยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศตกอยู่ในอันตราย
ในกรุงเคียฟ ผู้ตรวจการแผ่นดินของยูเครนเผยว่ามีการเจรจาอย่างเข้มข้นกับรัสเซีย สำหรับขอปล่อยลูกเรือของเรือยูเครน 3 ลำที่ถูกกองทัพรัสเซียยึดนอกชายฝั่งไครเมีย หลังผู้นำรัสเซียและยูเครนได้โทรศัพท์สายตรงพูดคุยกันเมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ในเวลาต่อมามีรายงานว่ายูเครนได้ปล่อยตัวลูกเรือของเรือบรรทุกน้ำมันแล้วหลังจากมีคำขู่มาจากฝั่งรัสเซีย
“ลูกเรือได้รับการปล่อยตัวจากยูเครนและกำลังเดินทางกลับบ้าน แต่เรือบรรทุกน้ำมันยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของยูเครนที่ท่าเรืออิซมาอิล ในแม่น้ำดานูบ” โฆษกสถานทูตรัสเซียในกรุงเคียฟเปิดเผยผ่านโทรศัพท์