เอเอฟพี - ชายสูงวัยชาวเกาหลีใต้ซึ่งจุดไฟเผาตัวเองที่ด้านนอกสถานทูตญี่ปุ่นประจำกรุงโซลเสียชีวิตลงแล้วเมื่อวานนี้ (19 ก.ค.) ขณะที่ญาติออกมาเผยว่าผู้ตายรู้สึกคับแค้นใจที่ญี่ปุ่นปฏิเสธจ่ายชดเชยเหยื่อแรงงานทาสในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
ปมขัดแย้งที่ว่านี้เริ่มลุกลามบานปลาย หลังจากศาลเกาหลีใต้มีคำพิพากษาเมื่อปีที่แล้วให้บริษัทยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นจ่ายเงินชดเชยแก่ชาวเกาหลีที่ถูกบังคับใช้แรงงาน ส่งผลให้รัฐบาลโตเกียวแก้แค้นด้วยการคุมเข้มส่งออกเคมีภัณฑ์ 3 ชนิดที่จำเป็นต่อการผลิตชิปและสมาร์ทโฟนไปยังเกาหลีใต้
ชายชราวัย 70 เศษซึ่งจุดไฟเผาตนเองในรถยนต์ซึ่งจอดอยู่หน้าสถานทูตญี่ปุ่นถูกนำส่งโรงพยาบาลด้วยอาการบาดเจ็บสาหัส ก่อนจะเสียชีวิตในเวลาต่อมา โดยเจ้าหน้าที่พบกระป๋องแก๊สแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งราวๆ 20 กระป๋องอยู่ภายในรถ
ตำรวจเกาหลีใต้ให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพีว่า ก่อนเกิดเหตุผู้ตายได้โทรศัพท์บอกคนรู้จักเมื่อเช้าวันศุกร์ (19) ว่ากำลังขับรถไปยังสถานทูตญี่ปุ่น และจะเผาตัวเองเพื่อแสดงถึง “ความเกลียดชังญี่ปุ่น”
“คนในครอบครัวของเขาก็ยืนยันว่า คุณพ่อเคยถูกญี่ปุ่นบังคับใช้แรงงานทาสในช่วงสงคราม”
เหตุฆ่าตัวตายครั้งนี้เกิดขึ้นในขณะที่รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่นได้เรียกทูตเกาหลีใต้เข้าพบเพื่อหารือข้อพิพาทการค้า ซึ่งนักวิเคราะห์เตือนว่าอาจส่งผลกระทบถึงตลาดสินค้าไฮเทคทั่วโลก
รัฐมนตรี ทาโร โคโนะ เรียกร้องให้กรุงโซล “มีมาตรการแก้ไขทันที” จากกรณีที่ศาลสูงสุดเกาหลีใต้สั่งให้บริษัทแดนอาทิตย์อุทัยต้องจ่ายเงินชดเชยแก่อดีตแรงงานทาส
โตเกียวยืนยันว่า ข้อพิพาทเหล่านี้สิ้นสุดไปแล้วเมื่อญี่ปุ่นได้จ่ายเงินชดเชยแก่เกาหลีใต้เป็นวงเงินถึง 800 ล้านดอลลาร์ ทั้งในรูปของเงินสดและเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ตอนที่ทำข้อตกลงสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตสู่ระดับปกติในปี 1965
ญี่ปุ่นยังขู่จะมี “มาตรการตอบโต้ที่จำเป็น” เพิ่มเติม หากรัฐบาลเกาหลีใต้ไม่ยื่นมือเข้าแทรกแซงคำพิพากษาของศาล
ด้านกระทรวงการต่างประเทศเกาหลีใต้ออกมาแถลงตอบโต้ข้อเรียกร้องของ โคโนะ โดยบอกให้ญี่ปุ่น “พยายามเยียวยาความเจ็บปวดและบาดแผล” ของเหยื่อในแดนโสมให้มากกว่านี้ เพื่อให้ปัญหาทุกอย่าง “ได้รับการแก้ไขอย่างสมบูรณ์”
ทำเนียบประธานาธิบดีเกาหลีใต้ระบุว่า ข้อกล่าวหาของญี่ปุ่นที่ว่าเกาหลีใต้ละเมิดมติคว่ำบาตรเกาหลีเหนือนั้น “ไม่เป็นความจริง” และขอให้โตเกียว “ยกเลิกมาตรการจำกัดส่งออกที่ไม่เป็นธรรม และหยุดใช้คำพูดหรือมาตรการใดๆ ที่จะทำให้สถานการณ์เลวร้ายยิ่งไปกว่านี้”