xs
xsm
sm
md
lg

Weekend Focus: ‘ทรัมป์’ งัดกลยุทธ์เหยียดผิวโกยเรตติ้ง ไล่ 4 ส.ส.ผิวสีเดโมแครต ‘กลับประเทศ’ ถ้าไม่พอใจอเมริกา

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ
กลายเป็นกระแสวิจารณ์ร้อนระอุในสหรัฐฯ อเมริกา เมื่อประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ออกมาทวีตข้อความโจมตีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหญิงผิวสี 4 คนจากพรรคเดโมแครต โดยไล่ให้ “กลับประเทศไปเสีย” ถ้าอยู่อเมริกาแล้วไม่มีความสุข และถึงขั้นที่สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ลงมติประณามว่าประธานาธิบดีกำลังใช้คำพูดเหยียดเชื้อชาติ

ท่าทีล่าสุดของ ทรัมป์ ถูกมองว่ามีเจตนาสร้างความแตกแยกภายในพรรคเดโมแครตซึ่งพยายามใช้อำนาจขัดขวางวาระทางกฎหมายของเขา หลังกลับมาครองเสียงข้างมากในสภาล่างได้สำเร็จเมื่อปี 2018

เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่แล้ว ผู้นำสหรัฐฯ ได้เขียนทวิตเตอร์โจมตี "สมาชิกคองเกรสสตรีพรรคเดโมแครตหัวก้าวหน้า" ซึ่งแม้จะไม่มีการเอ่ยชื่อ แต่ก็เป็นที่เข้าใจว่าหมายถึงกลุ่ม ส.ส.หญิงผิวสี 4 คนที่ได้รับเลือกเข้าสู่สภาคองเกรสเป็นสมัยแรก หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘the squad’ ได้แก่ อเล็กซานเดรีย โอคาซิโอ-คอร์เตซ จากรัฐนิวยอร์ก, อิลฮาน โอมาร์ จากรัฐมินนิโซตา, อยานนา เพรสลีย์ จากรัฐแมสซาชูเซตส์ และ ราชิดา ทลาอิบ จากรัฐมิชิแกน

ทั้ง 4 คนแม้จะเป็นพลเมืองอเมริกัน แต่มีเชื้อสายฮิสแปนิก ปาเลสไตน์ โซมาเลีย และแอฟริกัน-อเมริกัน โดย 3 ใน 4 เกิดในอเมริกา ส่วนอีกคนอพยพลี้ภัยมาอยู่สหรัฐฯ ตั้งแต่เด็ก

"แต่เดิมคนเหล่านี้มาจากประเทศที่รัฐบาลพังพินาศอย่างสิ้นเชิง เป็นประเทศที่เลวร้ายที่สุด คอร์รัปชันที่สุด และไร้ความสามารถที่สุดในโลก ผู้หญิงกลุ่มนี้บอกกล่าวอย่างชั่วร้ายต่อประชาชนของสหรัฐฯ ประเทศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและมีอำนาจมากที่สุดบนปฐพีนี้ ว่ารัฐบาลของพวกเราควรบริหารอย่างไร" ข้อความของผู้นำสหรัฐฯ ระบุ

“ทำไมพวกเธอไม่กลับไปช่วยเหลือประเทศที่เธอจากมา ซึ่งแตกสลายและเต็มไปด้วยอาชญากรรม แล้วค่อยกลับมาสอนเราว่าต้องทำอย่างไร”

แกนนำพรรคเดโมแครตต่างดาหน้าออกมาแถลงตอบโต้ทรัมป์ โดยอดีตรองประธานาธิบดี โจ ไบเดน ซึ่งเป็นตัวเก็งชิงเก้าอี้ผู้นำสหรัฐฯ กับทรัมป์ในปีหน้า กล่าวว่า การเหยียดเชื้อชาติสีผิวและความเกลียดกลัวคนต่างชาติ (xenophobia) ไม่สมควรมีที่ยืนในอเมริกา ขณะที่ ส.ว.คามาลา แฮร์ริส จากรัฐแคลิฟอร์เนียก็ชี้ว่าคำพูดเหยียดผิวของ ทรัมป์ ไม่เป็นอเมริกัน

ทรัมป์ ออกมาปฏิเสธเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในวันจันทร์ (15) และยังฝากไปถึง 4 ส.ส.หญิงด้วยว่า “ถ้าพวกคุณอยู่ในสหรัฐฯ แล้วไม่มีความสุข เอาแต่คร่ำครวญเรื่องนั้นเรื่องนี้ตลอดเวลา ก็เชิญออกไปได้เลย” และเมื่อถูกถามว่ากังวลบ้างหรือไม่ที่คนส่วนใหญ่มองว่าเขากำลังเหยียดเชื้อชาติ และสนับสนุนแนวทางของลัทธิผิวขาวเป็นใหญ่ (ไวท์ซูพรีเมซิสต์) ผู้นำสหรัฐฯ ก็ตอบแบบไม่ยี่หระ

“ผมไม่กังวลเลย เพราะคนส่วนใหญ่ก็เห็นด้วยกับผม”

ส.ส.หญิงเดโมแครตทั้ง 4 คนได้เปิดแถลงข่าวที่อาคารรัฐสภาในวันจันทร์ (15) โดยระบุว่า ทรัมป์ จงใจปลุกปั่นความขัดแย้งเพื่อเบนความสนใจจากนโยบายที่ล้มเหลวของรัฐบาล ทั้งในด้านการแก้ไขปัญหาผู้อพยพ สาธารณสุข และการเก็บภาษี

ทลาอิบ และ โอมาร์ ยังเรียกร้องซ้ำให้สภาคองเกรสเดินหน้ากระบวนการถอดถอนประธานาธิบดี (impeachment)

ต่อมาในวันอังคาร (16) สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ได้ลงคะแนนโหวตแบบแบ่งขั้วพรรคชัดเจน 240 ต่อ 187 เสียง สนับสนุนมติประณามผู้นำสหรัฐฯ โดยมีใจความสำคัญว่า สภาผู้แทนฯ “ขอประณามอย่างรุนแรงต่อคำพูดเหยียดเชื้อชาติของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเป็นการรับรองและกระตุ้นความรู้สึกหวาดกลัวและชิงชังชาวอเมริกันผู้มาใหม่และคนผิวสี”

มติดังกล่าว ทรัมป์ ยังได้รับคะแนนโหวตสนับสนุนจากส.ส.รีพับลิกัน 4 คน และ ส.ส.อิสระอีก 1 คน
ส.ส.หญิง 4 คนของพรรคเดโมแครตที่ตกเป็นเป้าโจมตีของประธานาธิบดี โดนัล ทรัมป์ ออกมาแถลงข่าวตอบโต้ที่อาคารรัฐสภาในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อวันจันทร์ (15 ก.ค.) ได้แก่ อยานนา เพรสลีย์ (ซ้ายสุด), อิลฮาน โอมาร์ (ที่ 2 จากซ้าย), อเล็กซานเดรีย โอคาซิโอ-คอร์เตซ (ที่ 2 จากขวา), และ ราชิดา ทลาอิบ (ขวาสุด)
แนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคเดโมแครต ทวีตข้อความตำหนิ ทรัมป์ ว่ากำลังสร้างความแตกแยกในอเมริกาด้วยคำพูดที่กระตุ้นการเกลียดกลัวคนต่างชาติ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าสโลแกน ‘ทำให้อเมริกายิ่งใหญ่อีกครั้ง’ (Make America Great Again) นั้นแท้ที่จริงคือการ ‘ทำให้อเมริกาเป็นของคนขาวอีกครั้ง’ (Make America White Again) มากกว่า

เพโลซี ยังออกมาพูดปกป้อง 4 ลูกพรรคของเธอเต็มที่ระหว่างการอภิปรายในวันอังคาร (16) แม้ในความเป็นจริงเธอเองก็ลำบากใจพอสมควรในการทำงานร่วมกับ ส.ส.กลุ่มนี้ และเคยเตือนให้คนในพรรคหลีกเลี่ยงการชูนโยบายเสรีสุดโต่งแบบที่ โอคาซิโอ-คอร์เตซ และส.ส.หัวก้าวหน้าคนอื่นๆ เสนอ หากต้องการเอาชนะ ทรัมป์ ในศึกเลือกตั้งปี 2020

“ความคิดเห็นเช่นนี้จากทำเนียบขาวถือเป็นเรื่องที่น่าอับอาย น่ารังเกียจ และยังสะท้อนแนวคิดเหยียดเชื้อชาติ” เพโลซี กล่าว “ทุกคนในสภาแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นเดโมแครตหรือรีพับลิกันก็ตาม ควรร่วมมือกับเราในการประณามทวีตเหยียดเชื้อชาติของประธานาธิบดี”

คำพูดของ เพโลซี ได้นำไปสู่การโต้เถียงในสภานานถึง 2 ชั่วโมง โดยส.ส.รีพับลิกันชี้ว่าเธอพูดแรงเกินไป และฝ่าฝืนระเบียบการอภิปราย

ส.ส.รีพับลิกันบางคน เช่น ทอม แมคคลินท็อค จากรัฐแคลิฟอร์เนีย อ้างว่าสิ่งที่ ทรัมป์ พูดนั้นเป็นการวิจารณ์เรื่องความรักชาติ (patriotism) ไม่ใช่การเหยียดผิวอย่างที่หลายฝ่ายกล่าวหา ขณะที่ มิตช์ แมคคอนเนลล์ แกนนำส.ว.รีพับลิกันเสียงข้างมากในวุฒิสภาก็ออกมาเรียกร้องให้ทุกฝ่าย “ผ่อนปรนคำพูดคำจาลงบ้าง”

ทรัมป์ เคยมีประวัติใช้คำพูดเหยียดเชื้อชาติมาแล้วหลายครั้ง โดยเมื่อปีที่แล้วเขาก็เรียกกลุ่มชาติแอฟริกาว่าเป็น “ประเทศโสโครก” และยังกล่าวหาคลื่นผู้อพยพที่หลั่งไหลมายังพรมแดนตอนใต้ของสหรัฐฯ ว่ากำลัง “รุกราน” อเมริกา

อีกหนึ่งวีรกรรมของ ทรัมป์ ซึ่งหลายคนจำได้แม่นก็คือ การออกมากล่าวหา บารัค โอบามา ประธานาธิบดีผิวสีคนแรกของสหรัฐฯ ว่าไม่ได้เกิดในอเมริกา และตอนที่เกิดเหตุประท้วงในเมืองชาร์ล็อตต์สวิลล์ รัฐเวอร์จิเนีย เมื่อปี 2017 จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ทรัมป์ก็ยังเลี่ยงที่จะประณามพวกไวท์ซูพรีเมซิสต์ที่เป็นต้นเหตุ แต่กลับเลี่ยงไปพูดว่า “ทั้งสองฝ่ายล้วนแต่มีคนดีอยู่ด้วย”

คำพูดดังกล่าวส่งผลให้คะแนนนิยมของ ทรัมป์ ลดฮวบลงอย่างเห็นได้ชัดในปี 2017 ทว่าผลสำรวจล่าสุดโดยรอยเตอร์/อิปซอสในสัปดาห์นี้กลับพบว่า การทวีตข้อความเหยียด ส.ส.หญิงผิวสีไม่ได้บั่นทอนเรตติ้งของผู้นำสหรัฐฯ ลงเลย โดยแม้จะสูญเสียความนิยมในหมู่ฐานเสียงเดโมแครตและอิสระไปบ้าง แต่กลับได้ใจฝ่ายรีพับลิกันมากขึ้น ซึ่งทำให้คะแนนนิยม ทรัมป์ ในภาพรวมไม่เปลี่ยนแปลง
กำลังโหลดความคิดเห็น