รอยเตอร์ - “อิหร่าน”โต้ไม่ได้พร้อมเจรจาอย่างที่พอมเพโอป่าวประกาศ ผู้นำสูงสุด “คอมาเนอี” ยังย้ำชัดเดินหน้าเพิ่มสมรรถนะยูเรเนียมต่อ รวมทั้งจะตอบโต้อังกฤษที่ยึดเรือบรรทุกน้ำมันของอิหร่าน “ในเวลาและสถานที่ที่เหมาะสม” หักล้างคำพูดของ “ทรัมป์” มราว่า สถานการณ์ความขัดแย้งกับเตหะรานมีความคืบหน้ามาก
สถานการณ์อิหร่าน-อเมริกาตึงเครียดมากขึ้นนับจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศถอนตัวจากข้อตกลงนิวเคลียร์ 2015 ที่ 6 มหาอำนาจตกลงยกเลิกมาตรการแซงก์ชันบางส่วนแลกกับการที่อิหร่านระงับโครงการนิวเคลียร์
นับจากนั้นวอชิงตันยังฟื้นมาตรการแซงก์ชันปิดกั้นการส่งออกน้ำมันเพื่อบีบให้อิหร่านยอมเจรจาทำข้อจำกัดด้านศักยภาพนิวเคลียร์ที่เข้มงวดยิ่งขึ้น รวมทั้งจำกัดโครงการขีปนาวุธ และยุติการสนับสนุนกองกำลังตัวแทนในการแย่งชิงอำนาจในตะวันออกกลางกับชาติอาหรับที่อเมริกาหนุนหลัง
ขณะเดียวกัน ความกังวลที่ว่าอาจเกิดการเผชิญหน้าโดยตรงระหว่างสองชาตินี้ ก็พุ่งพล่านหลังเหตุโจมตีเรือบรรทุกน้ำมันในอ่าวเปอร์เซียหลายครั้งเมื่อเดือนพฤษภาคม ซ้ำเดือนต่อมาอิหร่านยังยิงโดรนสอดแนมของอเมริการ่วง และวอชิงตันเตรียมตอบโต้ทางอากาศแต่ถูกทรัมป์ยับยั้งไว้ในนาทีสุดท้าย
ในวันอังคาร (16 ก.ค.) อยาตอลเลาะห์ อาลี คอมาเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน ประกาศว่า เตหะรานจะเดินหน้าทยอยยกเลิกข้อจำกัดควบคุมกิจกรรมนิวเคลียร์ของตัวเองภายใต้ข้อตกลงที่ทำกับอังกฤษ จีน ฝรั่งเศส เยอรมนี รัสเซีย และอเมริกาเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ในเมื่อสหรัฐฯได้ถอนตัวจากข้อตกลงไปแล้วกว่า 1 ปี รวมทั้งชาติอื่นๆ ที่ร่วมลงนามก็ไม่สามารถรักษาผลประโยชน์ต่างๆ ซึ่งสัญญาจะให้แก่อิหร่านเมื่อทำตามข้อตกลง
ขณะเดียวกัน คอเมเนอีบอกว่าด้วยว่าจะตอบโต้อังกฤษ“ในเวลาและสถานที่ที่เหมาะสม” จากกรณีอังกเข้าการยึดเรือบรรทุกน้ำมันของอิหร่านในบริเวณดินแดนยิบรอลตาร์เมื่อต้นเดือนกรกฎาคม
ในเวลาต่อมา โฆษกของนายกรัฐมนตรีเทเรซา เมย์ของอังกฤษ แถลงว่า การทำให้สถานการณ์ตึงเครียดยิ่งขึ้นไม่ส่งผลดีทั้งต่อตะวันตกและอิหร่าน
ทั้งนี้ คอเมเนอีกล่าวหาอังกฤษ เยอรมนี และฝรั่งเศส ล้มเหลวในการปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อตกลงปี 2015 ในการช่วยให้อิหร่านกลับเข้าสู่ระบบการค้าโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งออกน้ำมันที่ถูกอเมริกาปิดกั้น
สัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตรวจสอบนิวเคลียร์ของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ยืนยันว่า อิหร่านได้เพิ่มสมรรถนะยูเรเนียมเป็น 4.5% แล้ว ซึ่งเกินขีดจำกัดตามข้อตกลงที่อยู่ที่ 3.67% และถือเป็นการละเมิดข้อตกลงครั้งที่ 2 ในรอบหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากเตหะรานเพิ่มปริมาณยูเรเนียมสมรรถนะต่ำเกินขีดจำกัด 300 กิโลกรัมที่ระบุเอาไว้ในข้อตกลงปี 2015
อย่างไรก็ดี ระดับสมรรถนะยูเรเนียมปัจจุบันของอิหร่านยังห่างจากระดับก่อนบรรลุข้อตกลงคือต่ำกว่า 20% และยิ่งห่างไกลจากระดับ 90% ที่จำเป็นสำหรับผลิตเชื้อเพลิงนิวเคลียร์เกรดเดียวกับระเบิด
ก่อนหน้านี้ คอมาเนอีเคยโจมตีชาติภาคียุโรปที่ไม่ลุกขึ้นมาต่อต้านทรัมป์ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผู้นำสูงสุดของเตหะรานประกาศชัดเจนว่า จะเดินหน้าไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงนิวเคลียร์เว้นแต่จะมีการยกเลิกมาตรการแซงก์ชันน้ำมันและการธนาคาร
เตหะรานยืนยันว่า ไม่มีเป้าหมายผลิตอาวุธนิวเคลียร์ และจะยุติการงดปฏิบัติตามข้อตกลงทันที ถ้าวอชิงตันกลับสู่ข้อตกลงและทำให้เกิดผลแง่บวกต่อเศรษฐกิจอย่างแท้จริง
นอกจากนั้น อิหร่านยังปฏิเสธว่า ไม่ได้ยินดีเจรจากับอเมริกาเรื่องโครงการนิวเคลียร์ ซึ่งตรงข้ามกับคำกล่าวอ้างของไมค์ พอมเพโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ในการประชุมคณะรัฐมนตรีที่ทำเนียบขาวว่า อิหร่านส่งสัญญาณเป็นครั้งแรกว่า พร้อมเจรจา โดยที่พอมเพโอยังอ้างว่า เป็นผลจากการกดดันทางเศรษฐกิจของอเมริกา
ทั้งนี้ ดูเหมือนพอมเพโอเข้าใจผิดจากคำให้สัมภาษณ์ของโมฮัมหมัด จาวัด ซารีฟ รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน ในรายการหนึ่งของเครือข่ายโทรทัศน์เอ็นบีซีของสหรัฐฯเมื่อวันจันทร์ (15) ที่เขากล่าวว่า เตหะรานอาจหารือเรื่องโครงการนิวเคลียร์ หากวอชิงตันเลิกจัดหาอาวุธให้สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) และซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีแนวโน้มว่า อเมริกาจะยอมทำ
นอกจากนั้นในการประชุมดังกล่าว ทรัมป์ยังระบุว่า ข้อพิพาทกับเตหะรานมีความคืบหน้าอย่างมาก
ผู้นำสหรัฐฯ สำทับว่า ต้องการช่วยเหลือ แต่อิหร่านต้องไม่มีอาวุธนิวเคลียร์หรือทดสอบขีปนาวุธ พร้อมยืนยันว่า ไม่คิดเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองในประเทศอิสลามแห่งนี้