รอยเตอร์ - สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ลงมติประณามประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ วานนี้ (16 ก.ค.) กรณีใช้คำพูดเหยียดเชื้อชาติ 4 ส.ส.หญิงจากพรรคเดโมแครต ซึ่งถือเป็นมาตรการเชิงสัญลักษณ์ที่สร้างความอับอายทั้งต่อ ทรัมป์ และสมาชิกพรรครีพับลิกันที่หนุนหลังเขา
สภาผู้แทนฯ ได้ลงมติแบบแบ่งขั้วพรรคชัดเจน 240 ต่อ 187 เสียงสนับสนุนมติประณามผู้นำสหรัฐฯ ซึ่งได้ทวีตข้อความเหยียดหยามกลุ่ม ส.ส.หญิงผิวสีรุ่นใหม่ไฟแรงเมื่อวันอาทิตย์ (14) โดยไล่ให้พวกเธอ “กลับไปยังประเทศบ้านเกิดตัวเองที่แตกสลาย และเต็มไปด้วยอาชญากรรม”
ทั้งนี้ ส.ส.หญิง 4 คนที่ตกเป็นเป้าโจมตีของ ทรัมป์ ได้แก่ อเล็กซานเดรีย โอคาซิโอ-คอร์เตซ จากรัฐนิวยอร์ก, อิลฮาน โอมาร์ จากรัฐมินนิโซตา, อยานนา เพรสลีย์ จากรัฐแมสซาชูเซตส์ และ ราชิดา ทลาอิบ จากรัฐมิชิแกน ทั้งหมดเป็นพลเมืองอเมริกันแต่มีเชื้อสายฮิสแปนิก ปาเลสไตน์ โซมาเลีย และแอฟริกัน-อเมริกัน โดย 3 ใน 4 เกิดในอเมริกา ส่วนอีกคนอพยพลี้ภัยมาอยู่สหรัฐฯ ตั้งแต่เด็ก
พรรคเดโมแครตซึ่งครองเสียงส่วนใหญ่ในสภาผู้แทนราษฎรได้ผ่านร่างมติดังกล่าวเมื่อค่ำวันอังคาร (16) โดยมีใจความสำคัญว่า สภาผู้แทนฯ “ขอประณามอย่างรุนแรงต่อคำพูดเหยียดเชื้อชาติของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเป็นการรับรองและกระตุ้นความรู้สึกหวาดกลัวและชิงชังชาวอเมริกันผู้มาใหม่และคนผิวสี”
มติประณาม ทรัมป์ ยังได้รับคะแนนโหวตสนับสนุนจากส.ส.รีพับลิกัน 4 คน และ ส.ส.อิสระอีก 1 คน
ทั้งนี้ ท่าทีของ ทรัมป์ ถูกมองว่ามีเจตนาสร้างความแตกแยกภายในพรรคเดโมแครต ซึ่งพยายามใช้อำนาจขัดขวางวาระทางกฎหมายของรัฐบาลหลังกลับมาครองเสียงข้างมากในสภาล่างได้สำเร็จเมื่อปี 2018
แนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคเดโมแครต แม้จะประสบปัญหาขลุกขลักพอสมควรในการทำงานร่วมกับส.สหัวก้าวหน้ากลุ่มนี้ แต่ก็ยังพูดปกป้องพวกเธอเต็มที่ระหว่างการอภิปราย และเมื่อการโหวตสิ้นสุดลง โอมาร์ ก็ได้เดินเข้ามาพูดคุยกับ เพโลซี นานพอสมควร รวมถึงโอบกอดเธอด้วย
“ความคิดเห็นเช่นนี้จากทำเนียบขาวถือเป็นเรื่องที่น่าอับอาย น่ารังเกียจ และยังสะท้อนแนวคิดเหยียดเชื้อชาติ” เพโลซี กล่าว “ทุกคนในสภาแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นเดโมแครตหรือรีพับลิกันก็ตาม ควรร่วมมือกับเราในการประณามทวีตเหยียดเชื้อชาติของประธานาธิบดี”
คำพูดของ เพโลซี ได้นำไปสู่การโต้เถียงในสภานานถึง 2 ชั่วโมง โดยส.ส.รีพับลิกันชี้ว่าเธอพูดแรงเกินไป และฝ่าฝืนระเบียบการอภิปราย
ส.ส.รีพับลิกันบางคน เช่น ทอม แมคคลินท็อค จากรัฐแคลิฟอร์เนีย อ้างว่าสิ่งที่ ทรัมป์ พูดนั้นเป็นการวิจารณ์เรื่องความรักชาติ (patriotism) ของ ส.ส.หญิงกลุ่มนี้ และไม่ใช่การเหยียดผิว
ด้าน มิตช์ แมคคอนเนลล์ แกนนำส.ว.รีพับลิกันเสียงข้างมากในวุฒิสภา ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า ทุกๆ ฝ่ายควรจะ “ผ่อนปรนคำพูดคำจาลงบ้าง”
“ประธานาธิบดีไม่ได้เหยียดเชื้อชาติ และผมคิดว่าการโต้เถียงเช่นนี้ไม่ดีสำหรับประเทศของเราเลย แต่มันก็มาจากมุมมองที่แตกต่างกัน” แมคคอนเนลล์ กล่าว
ทรัมป์ เคยมีประวัติการเหยียดเชื้อชาติมาแล้วหลายครั้ง โดยเฉพาะตอนที่เขาออกมากล่าวหา บารัค โอบามา ประธานาธิบดีผิวสีคนแรกของสหรัฐฯ ว่าไม่ได้เกิดในอเมริกา และตอนที่เกิดเหตุประท้วงในเมืองชาร์ล็อตต์สวิลล์ รัฐเวอร์จิเนีย เมื่อปี 2017 จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ทรัมป์ก็ยังเลี่ยงที่จะประณามพวก ‘ไวท์ซูพรีเมซิสต์’ ที่เป็นต้นเหตุ แต่กลับพูดว่า “ทั้งสองฝ่ายล้วนแต่มีคนดีอยู่ด้วย”
แม้คะแนนนิยมของ ทรัมป์ จะลดลงอย่างเห็นได้ชัดจากคำพูดเมื่อปี 2017 แต่ผลสำรวจล่าสุดโดยรอยเตอร์/อิปซอสในสัปดาห์นี้พบว่า ทวีตโจมตี ส.ส.หญิงผิวสีกลับไม่ได้บั่นทอนเรตติ้งของผู้นำสหรัฐฯ เท่าใดนัก โดยแม้จะสูญเสียคะแนนนิยมในหมู่ฐานเสียงเดโมแครตและอิสระ แต่กลับได้ใจฝ่ายรีพับลิกันมากขึ้น ซึ่งทำให้คะแนนนิยม ทรัมป์ ในภาพรวมไม่เปลี่ยนแปลง