รอยเตอร์ – องค์การนิรโทษกรรมสากล (เอไอ) เรียกร้องวันนี้ (8 ก.ค.) ให้องค์การสหประชาชาติเปิดการสอบสวนกรณีสงครามยาเสพติดในฟิลิปปินส์ ชี้ตำรวจล่าสังหารผู้ค้ายาหลายพันศพในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาโดยไม่ผ่านการไต่สวนถือว่าละเมิดสิทธิมนุษยชน “อย่างเป็นระบบ” ขณะที่ภาครัฐก็ไม่เต็มใจสืบหาความจริง
เอไอซึ่งมีฐานอยู่ที่กรุงลอนดอนได้เผยแพร่รายงานที่ใช้ชื่อว่า ‘They Just Kill’ โดยเรียกร้องให้คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนยูเอ็นลงมติเปิดการสืบสวนฟิลิปปินส์ ที่ซึ่งการประหารชีวิตอย่างผิดกฎหมายและพฤติกรรมล่วงละเมิดของตำรวจกำลัง “ถูกทำให้เป็นเรื่องปกติธรรมดาอย่างน่ากังวล”
ทั้งนี้ คาดว่าคณะมนตรีซึ่งมีรัฐสมาชิกรวม 47 ประเทศจะทำการโหวตร่างมติดังกล่าวภายในสัปดาห์นี้
จนถึงขณะนี้ไม่มีองค์กรใดสามารถระบุตัวเลขผู้เสียชีวิตที่แน่นอนในสงครามยาเสพติดซึ่งเป็นนโยบายซิกเนเจอร์ของประธานาธิบดี โรดริโก ดูเตอร์เต รู้แต่เพียงว่ามีคนถูกสังหารไปแล้วหลายพันราย และมากกว่า 6,000 รายเสียชีวิตจากปฏิบัติการของตำรวจ ซึ่งอ้างว่าผู้ตายมีอาวุธและขัดขืนการจับกุม
รัฐบาลมะนิลาปฏิเสธข้อครหาที่ว่าตำรวจฆ่าผู้ต้องสงสัยโดยไม่รอกระบวนการยุติธรรม และเปิดโอกาสให้ญาติเหยื่อที่ข้องใจสามารถยื่นฟ้องตำรวจได้
เอไอชี้ว่า ทางการฟิลิปปินส์จงใจ “สร้างความสับสนและบิดเบือนข้อมูล” เพื่อให้การตรวจสอบอย่างเป็นระบบทำได้ยาก และเหยื่อที่ถูกฆ่าส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นคนยากจนหรือคนชายขอบซึ่งไม่มีช่องทางหรือไม่ได้รับการช่วยเหลือให้เอาผิดกับตำรวจ
รายงานที่เอไอจัดทำขึ้นเมื่อเดือน เม.ย. มุ่งเน้นไปที่การสังหารผู้ค้ายาในจังหวัดบูลาคัน (Bulacan) ซึ่งกำลังกลายเป็นศูนย์กลางการกวาดล้างแห่งใหม่ โดยพบว่า 2 ใน 3 ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นผู้ตายเป็นบุคคลที่ถูกตำรวจเพ่งเล็งอยู่ก่อนแล้วว่าอาจจะใช้หรือพัวพันกับยาเสพติด
เอไอ มองว่าบัญชีเฝ้าระวังเหล่านี้เชื่อถือไม่ได้และผิดกฎหมาย เพราะเป็นการชี้นำตำรวจให้เลือกจับกุมบุคคล หรือในบางกรณีคือฆ่าทิ้ง
“คำบอกเล่าของตำรวจนอกเครื่องแบบที่อ้างว่าปลอมตัวเข้าไปล่อซื้อยา และยิงสังหารเพื่อป้องกันตัวเท่านั้น ไม่ได้สอดคล้องกับพื้นฐานความน่าเชื่อถือเลยแม้แต่นิดเดียว” เอไอ ระบุ
ซัลวาดอร์ พาเนโล โฆษกของดูเตอร์เต ระบุวันนี้ (8) ว่า ตนยังไม่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับรายงานของเอไอ และไม่ขอให้ความเห็น แต่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเขายืนยันว่า ปฏิบัติการของตำรวจฟิลิปปินส์ “เป็นไปตามกฎหมาย” และวิจารณ์กระแสเรียกร้องให้ยูเอ็นเข้ามาตรวจสอบเรื่องนี้ว่าเป็นความพยายามแทรกแซงกิจการภายในของรัฐบาลต่างชาติ “ซึ่งถูกชักจูงโดยคำบอกเล่าผิดๆ”
