เอเจนซีส์ - เมื่อวานนี้ (5 มิ.ย.) FBI ได้ทำการเปิดเผยเอกสารลับเกี่ยวกับรายงาน “บิ๊กฟุต” (Bigfoot) สัตว์ประหลาดในตำนวนที่โด่งดังเมื่อยุคปี 1970 ของอเมริกา ผลการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ในรายงานที่เพิ่งได้รับการเปิดเผยชี้ว่า ขนที่พบเป็นแค่ขนกวางเท่านั้น
ยาฮูนิวส์ สื่อสหรัฐฯ รายงานวันนี้ (6 มิ.ย.) ว่า สำนักงาน FBI สหรัฐฯ ในวันพุธ (5) เผยแพร่รายงานลับที่มีผลการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ถึง “เส้นขนและเนื้อเยื่อ” ของสัตว์ประหลาดที่มีขนปุกปุยคล้ายคนที่มีชื่อว่า “บิ๊กฟุต” (Bigfoot) หรืออาจรู้จักในนาม ซัสแควตช์ (Sasquatch) หรือเยติ (Yeti) ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ถูกพบในป่าแปซิฟิก นอร์ทเวสต์ (Pacific Northwest) เมื่อปี 1975
รายงานจำนวน 22 หน้าถูกเปิดเผยภายใต้กฎหมายเสรีภาพของข้อมูลสหรัฐฯ (Freedom of Information Act) ตามการร้องขอ แสดงให้เห็นว่าทาง FBI ยอมตรวจสอบหลักฐานที่เป็นเส้นขนติดกับบางส่วนของผิวหนัง ซึ่งทางหน่วยงานรัฐบาลกลางสหรัฐฯได้รับจากศูนย์ข้อมูลบิ๊กฟุต (Bigfoot Information Center) ที่มีฐานอยู่ในรัฐโอเรกอน
จากจดหมายแสดงให้เห็นว่าทางกลุ่มได้ส่งตัวอย่างออกไป หลังเรื่องบิ๊กฟุตถูกรายงานเผยแพร่ในวารสารวิชาการ “แผนที่ทางสภาวะแวดล้อมวอชิงตัน” (Washington Environmental Atlas) ของหน่วยการช่างกองทัพสหรัฐฯ ปี 1975 โดยตัวอย่างหลักฐานได้ถูกส่งไปทดสอบที่ห้องแล็บของสำนักงาน FBI เชื่อมโยงกับปรากฏการณ์บิ๊กฟุต
“ขอคุณได้โปรดช่วยทำให้เรื่องราวกระจ่างในคราวเดียว ขอให้แจ้งทางเราให้ทราบถึงผลการตรวจสอบที่ออกมาด้วยหากว่าทาง FBI ได้ทำการทดสอบเส้นขนที่เชื่อว่าอาจจะเป็นของบิ๊กฟุตแล้ว” ปีเตอร์ เบิร์น (Peter Byrne) ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลบิ๊กฟุตกล่าวผ่านจดหมาย ซึ่งในจดหมายยังระบุต่อทาง FBI ว่า “ขอได้โปรดเข้าใจว่าการวิจัยของทางเรานั้นถือเป็นเรื่องจริงจัง”
ในจดหมายตอบโต้ที่ส่งถึงเบิร์นลงวันที่ 15 ธ.ค. 1976 จาก เจย์ ค็อกแรน จูเนียร์ (Jay Cochran Jr.) ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงาน FBI แผนกบริการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้ขอให้เบิร์นส่งตัวอย่างไปให้กับห้องแล็บของ FBI ที่วอชิงตันแทน
“ห้องแล็บวิทยาศาสตร์ของ FBI นั้นมีหน้าที่ในการตรวจสอบหลักฐานทางกายภาพสำหรับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของสหรัฐฯที่เชื่อมโยงกับการสอบสวนทางอาชญาวิทยา” แต่ชี้ว่า “แต่ในบางโอกาสขึ้นอยู่แต่ละกรณี ในความสนใจของการวิจัยและตามคำขอทางวิทยาศาสตร์ ทางเราสามารถให้ข้อยกเว้นโดยที่ไม่จำต้องเป็นไปตามนโยบาย ทางเราจะทำการตรวจสอบเส้นขนและเนื้อเยื่อตามที่คุณระบุในจดหมาย”
ยาฮูนิวส์ชี้ว่า ในอีก 3 เดือนต่อมาผลของการตรวจสอบพบว่า “เส้นขนและเนื้อเยื่อที่ว่าเป็นขนของสัตว์ตระกูลกวาง” ค็อกแรนเขียน
NBC NEWS รายงานว่า เบิร์นที่ในเวลานี้อยู่ในวัย 93 ปี ให้สัมภาษณ์กับ CNBC ในวันพุธ (5) ว่า เขายังคงไม่สิ้นหวังในการที่จะพิสูจน์ให้ได้ว่าบิ๊กฟุตนั้นมีตัวตนจริง โดยจากเว็บไซต์ของเบิร์นเขากล่าวว่า เขามีความสนใจในสัตว์ประหลาดในตำนานนับตั้งแต่พ่อของเขาได้เล่านิทานก่อนนอนให้ฟังถึง "เยติแห่งเทือกเขาหิมาลัย"
โดยประสบการณ์ครั้งแรกที่เบิร์นสามารถมีโอกาสที่จะตามหาบิ๊กฟุตเกิดขึ้นในปี 1964 เมื่อครั้งที่เบิร์นทำงานให้กับกองทัพอากาศอังกฤษที่เมืองบอมเบย์ อินเดีย และการปรากฎภาพถ่ายที่โด่งดังแสดงถึงภาพกระโหลกศรีษะของเยติ หรือบิ๊กฟุต ที่มีเส้นขนติดมาด้วยที่วัดเทือกเขาหิมาลัยของเนปาลปี 1958 และอีกภาพเป็นภาพรอยเท้าขนาดใหญ่ที่เชื่อว่าจะเป็นของบิ๊กฟุต
เบิร์นที่ได้เริ่มการตามหาบิ๊กฟุตในเนปาลเมื่อช่วงปลายยุค 50 กล่าวว่า ตลอดช่วงเวลา 50 ปี เขาพบรอยเท้าราว 2-3 รอยเท้าที่เชื่อได้ว่าอาจเป็นของบิ๊กฟุตจริง โดยในแต่ละรอยเท้ามี 5 นิ้วปรากฏให้เห็นที่ระดับความสูง 15,000 ฟุตของเทือกเขาหิมาลัย
แต่ในวันพุธ (5) เบิร์นดูเหมือนจะยอมรับว่ารอยเท้าเหล่านั้นอาจเป็นของนักพรตฮินดู หรือซาดูซ (sadhus) ที่เขาเห็นเดินเท้าเปล่าในหิมะที่ระดับความสูงเช่นนั้น